โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ซอกแซกเที่ยว “3 มหาวิทยาลัยดังแดนปลาดิบ”

TheHippoThai.com

เผยแพร่ 18 ก.ค. 2562 เวลา 01.00 น. • THE HIPPO | Another Point Of View
ซอกแซกเที่ยว “3 มหาวิทยาลัยดังแดนปลาดิบ”

ในยุคที่การท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นของคนไทยง่ายดายราวกับขอตัวไปกินข้าวซอยที่เชียงใหม่ ทำให้สถานที่ต่าง ๆ ตามเมืองใหญ่เมืองดังในแดนปลาดิบ แทบจะปรุพรุนจากรอยเท้าชาวไทยที่ก้าวไปย่ำเยือนมาจนแทบไม่เหลืออะไรเป็นความลับให้ค้นหา

ผมลองสำรวจสถิติคร่าว ๆ จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไกด์บุ๊ก เว็บไซต์ และโซเชียลมีเดียทั้งหลายแล้ว ถ้าจัดอันดับแหล่งท่องเที่ยวที่คนไทยนิยมชมชอบในญี่ปุ่นเป็น 3 ระดับจากมากไปน้อย (ขออนุญาตจัดเองจากที่เห็นผ่านตานะครับ ไม่ได้อ้างอิงข้อมูลที่ไหนเป๊ะ ๆ)

ระดับฮิตกลุ่มขึ้นหิ้ง น่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ วัด-ศาลเจ้าดัง ๆ แหล่งมรดกโลก สวนสนุก ย่านการค้าทันสมัย จุดชมวิวสวย ๆ

ระดับรองลงมา น่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวประเภทร้านค้าดัง ๆ แหล่งชอปปิง แหล่งของกินอร่อย พิพิธภัณฑ์ อาร์ตแกลเลอรี สถานที่แนวประวัติศาสตร์ แหล่งเที่ยววิถีเกษตรกรรม

ส่วนระดับสาม ก็อาจเป็นแหล่งท่องเที่ยวในเมืองเล็ก ๆ เมืองชนบท วิถีวัฒนธรรมที่ไปยาก ๆ หน่อย เทศกาล กีฬา หรือกิจกรรมนอกกระแสต่าง ๆ และน่าจะรวมถึง “มหาวิทยาลัย” ด้วย

เหตุผลที่มหาวิทยาลัยอยู่ในกลุ่มรั้งท้าย ประการแรกคงเพราะการเป็นสถาบันการศึกษานั้นสถานะก็บอกอยู่แล้วว่าไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว ไหนจะภาพลักษณ์ความเป็นหน่วยงานแนววิชาการ มีนักศึกษา ครูอาจารย์ อยู่ข้างใน ใครไม่รู้ไม่เคยไปญี่ปุ่น ก็ย่อมมองว่าเป็นสถานที่เฉพาะกิจ บุคคลภายนอกห้ามเข้า หรือเข้าไปแล้วก็ไม่มีอะไรให้ดู

แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ที่กล่าวข้างต้นไปทั้งหมดครับ จริงอยู่ที่มหาวิทยาลัยญี่ปุ่นคงสถานะการเป็นสถาบันการศึกษาที่ก่อตั้งเพื่อวัตถุประสงค์ด้านวิชาการ แต่มหาวิทยาลัยดัง ๆ ในญี่ปุ่น ก็ไม่ได้ปิดตายเป็นห้องแห่งความลับ ห้ามบุคคลภายนอกเข้าไปเยี่ยมชม โดยเฉพาะบางพื้นที่ของมหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ นั้น ถือเป็นแหล่งเช็คอินที่นักท่องเที่ยวไปเยือนกันบ่อย ๆ ด้วยซ้ำ รวมถึงมหาวิทยาลัยบางแห่งมีพิพิธภัณฑ์ หรืออาร์ตแกลเลอรี จัดแสดงให้ผู้สนใจเข้าชมได้

ถ้านึกภาพไม่ออก เราลองนึกถึงมหาวิทยาลัยในเมืองไทยก็ได้ครับ แทบทุกแห่งไม่ได้เปิดบริการให้เฉพาะนักศึกษาหรือบุคลากรเท่านั้น แต่มีพื้นที่กึ่งสาธารณะให้คนนอกเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ มหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นหลายแห่งก็เป็นแบบนั้นแหละ

ผมขอยกตัวอย่างประสบการณ์น่าสนใจจากมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น 3 แห่ง ที่ผมเข้าไปเยือนในฐานะนักท่องเที่ยวมาแล้ว

ปฐมบทการเดินทาง: มหาวิทยาลัยโตเกียว (The University of Tokyo)
ผมใช้คำว่าปฐมบทการเดินทาง เพราะว่าการไปเยือนญี่ปุ่นครั้งแรกของผมเมื่อหลายปีก่อน ก็ประเดิมที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ล่ะครับเป็นสถานที่แรกเลย (มีความอินดี้ตั้งแต่แรกเริ่ม) ด้วยความที่ต้องไปเก็บข้อมูลเกี่ยวกับงานด้วย จึงขอแวะไปดูสถานศึกษาเบอร์หนึ่งของเอเชียสักหน่อย (ม.โตเกียว ติด ranking อันดับ 1 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของเอเชียอยู่บ่อย ๆ)

มหาวิทยาลัยโตเกียว หรือ โทได เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2420 (ปีนี้ก็ 142 ขวบแล้ว) ซึ่งถ้าจะไปให้ได้ความรู้สึก “ว้าววว” อยู่บ้าง ต้องไปยัง Hongo Campus ซึ่งถือเป็น Main Campus ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียว

ด้วยความเป็นสถาบันเก่าแก่ ม.โตเกียว จึงมีสิ่งที่ต้องถูกใจนักท่องเที่ยวผู้ชื่นชอบสถาปัตยกรรมด้วยอาคารเก่าสไตล์ตะวันตกที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วมหาวิทยาลัย ไฮไลท์เด็ด ๆ เช่น Yasuda Auditorium หอประชุมสไตล์นีโอ-กอทิก สูงราว 40 เมตรที่เด่นเป็นสง่าและเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย , ประตูแดง Akamon ประตูเข้ามหาวิทยาลัยสีแดงสด ซึ่งเป็นประตูสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นแท้ ๆ นับเป็นหนึ่งในสองประตูไม้จากยุคเอโดะที่ยังหลงเหลืออยู่และคงสภาพที่สมบูรณ์มาก

อีกจุดที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเยือน ม.โตเกียว คือ รูปปั้นของเจ้าหมา “ฮาจิโกะ” สุนัขที่โด่งดังที่สุดในญี่ปุ่น ด้วยเรื่องราวความรักความซื่อสัตย์ที่รอคอยเจ้านายที่เสียชีวิตอยู่เกือบสิบปี บริเวณสถานีรถไฟชิบุยะ

ความแตกต่างระหว่างรูปปั้นฮาจิโกะ ที่แยกชิบุยะ (ฮาจิโกะ ยืนอยู่ตัวเดียว เดี่ยวโดด) กับ ฮาจิโกะ ที่ ม.โตเกียว คือ รูปปั้นที่ ม.โตเกียวนั้น เป็นรูปปั้นที่ ฮาจิโกะ ได้พบกับ ศาสตราจารย์อุเอะโนะ ผู้เป็นเจ้านายของมันนั่นเอง ดังนั้นถ้าอยากดูรูปปั้นฮาจิโกะที่จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ต้องมาที่ ม.โตเกียว เท่านั้นครับ

นอกจากนี้แล้ว ถ้าใครมีโอกาสไปเยือนมหาวิทยาลัยแห่งนี้ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน - ต้นเดือนธันวาคม ล่ะก็ จะอบอวลไปด้วยบรรยากาศความงามของฤดูใบไม้ร่วง สีสันของใบแปะก๊วยที่ปลูกเต็มมหาวิทยาลัยจะแปรเปลี่ยนสีเป็นเหลืองอร่ามไปทั่ว จนสถานศึกษาแห่งนี้ถูกจัดอันดับให้เป็นอีกแหล่งชมใบไม้เปลี่ยนสีในกรุงโตเกียวไปเลยล่ะ

การเดินทางไปมหาวิทยาลัยโตเกียว: สถานีรถไฟใต้ดิน Todai-Mae หรือ สถานีรถไฟใต้ดิน Hongo-Sanchome

มหาวิทยาลัยเก่าอันดับสอง ในเมืองมรดกโลก: มหาวิทยาลัยเกียวโต (Kyoto University)
เกียวโต เมืองมรดกโลกที่ละลานตาไปด้วยวัดและศาลเจ้าเก่าแก่เต็มเมือง มีความเป็นญี่ปุ่นดั้งเดิมผสมผสานไปกับไลฟ์สไตล์ร่วมสมัยได้อย่างลงตัว ถ้าจะเที่ยวให้อิ่มเอมจริง ๆ สัปดาห์นึงยังไม่หมด ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่ไหนกันเล่าจะแบ่งเวลาไปชมมหาวิทยาลัยเกียวโต (ผมนี่ล่ะ!)

หลังจากมหาวิทยาลัยโตเกียวก่อตั้งได้ยี่สิบปี ในปี 2440 มหาวิทยาลัยแห่งภูมิภาคคันไซ ก็ตามมาทีหลัง แต่ก็กลายเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงระดับเอเชียได้เช่นกัน โดยผมมีโอกาสได้ไปเยือน Yoshida Campus ซึ่งตั้งอยู่กลางเมืองเก่า เกียวโต (ไม่ไกลจากวัดเงิน - กิงกะกุ ดังนั้นเหมาะแก่การวางแผนเดินทางไปด้วยกัน)

มีนักวิทยาศาสตร์ศิษย์เก่าที่ได้รับรางวัลโนเบลจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้ไปหลายคน ส่วนชาวไทยก็มีคนดังเรียนจบจากสถาบันแห่งนี้อย่างเช่น“คุณแขก – คำผกา นักเขียนคนดัง ซึ่งบางครั้งใช้นามแฝง “ฮิมิโตะ ณ เกียวโต” ประกาศตัวไปเลยว่าชั้นเรียนที่นี่นะ (ลองหาหนังสือเก่า ๆ ชื่อ “จดหมายจากเกียวโต” ดูนะครับ อ่านเพลินมาก)

เรียนกันตามตรง ด้วยข้อจำกัดของเวลาในการเที่ยวเมืองเกียวโต ทำให้ผมมีเวลาแวบไปมหาวิทยาลัยได้ไม่นานนัก ใช้เวลาดูโน่นดูนี่แค่คร่าว ๆ ไม่ได้เจาะลึกแบบ ม.โตเกียว แต่บรรยากาศโดยรวมของมหาวิทยาลัยในเมืองเก่า ก็มีเสน่ห์ไม่น้อยไปกว่ากัน โดยเฉพาะนักศึกษาที่ใช้จักรยานกันเยอะมากดูแล้วรู้สึกชื่นชม

ถ้ามีเวลาน้อย(แบบผม) อย่างน้อยก็แวะไปถ่ายรูปหนึ่งในสัญลักษณ์ ม.เกียวโต สักนิดนะครับ นั่นคืออาคาร Clock Tower Centennial Hall เป็นอาคารที่จัดอีเว้นท์ต่าง ๆ สวยงามแบบคลาสสิคอายุเกือบร้อยปีแล้ว

การเดินทางไปมหาวิทยาลัยเกียวโต: จากสถานีรถไฟเกียวโต นั่งรถเมล์สาย 206 ไปลงที่ป้าย Kyodai Seimon-mae หรือ นั่งแท็กซี่

มหาวิทยาลัยเอกชนระดับแนวหน้าเอเชีย: มหาวิทยาลัยวาเซดะ
ความเก่าแก่ของมหาวิทยาลัยวาเซดะที่ก่อตั้งมากว่าร้อยปี (พ.ศ. 2425) บอกเป็นนัยได้ดีว่า มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็ไม่ธรรมดาเลย แม้ว่าไม่โดดเด่นด้านวิทยาศาสตร์แบบสองมหาวิทยาลัยแรก แต่ในสายบริหารนับว่าไม่เป็นรองใคร ศิษย์เก่าจากที่นี่ มีทั้งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และนักการเมืองเพียบ นักเรียน-นักศึกษาไทยก็น่าจะคุ้นหูพอสมควร เพราะเป็นสถาบันที่มีหลักสูตรนานาชาติ เปิดทุนและพอมีช่องทางให้นักศึกษาจากสยามเมืองยิ้มไปศึกษาอยู่ด้วย

Main Campus ที่ผมไปเยือน อยู่ในย่านชินจูกุ ศูนย์กลางความทันสมัย สีสันจี๊ดจ๊าดตามแบบฉบับกรุงโตเกียว ซึ่งก็น่าจะส่งผลแก่บุคลิกของนักศึกษาอยู่ไม่น้อย เพราะผมสังเกตว่า ถ้าเทียบความฉูดฉาดหวือหวาของแฟชั่นแล้ว หนุ่ม ๆ สาว ๆ  ม.วาเซดะ ดูจะเด่นกว่านิด ๆ

การมาเที่ยวมหาวิทยาลัยเอกชนดังกลางเมืองหลวง รับประกันว่าไม่เหงาแน่นอน เพราะภายในมหาวิทยาลัยมีพิพิธภัณฑ์-อาร์ตแกลเลอรี ที่จัดแสดงให้คนนอกเข้าชมได้ แถมบางนิทรรศการก็ให้ชมฟรีไม่เสียเงินซักเยน

ข้อได้เปรียบอีกอย่าง คือ พิกัดที่อยู่ในย่านการค้าธุรกิจดัง การไปเยือน ม.วาเซดะ จึงมีร้านรวงระหว่างทางให้แวะได้ไม่ต้องกลัวจะเบื่อ

สุดท้ายแล้ว อย่าลืมเช็คอินหน้าสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย นั่นคือ The Okuma Auditorium อาคารหอประชุมสุดสวยสถาปัตยกรรมทิวดอร์-กอทิก ที่มีหอนาฬิกาด้านบนเป็นสง่า ตีบอกเวลาวันละ 6 ครั้ง หอประชุมแห่งนี้ได้รับการรีโนเวทล่าสุดเมื่อปี 2007 ซึ่งในปีนั้น อาคารแห่งนี้ได้รับสถานะทรัพย์สมบัติด้านวัฒนธรรมที่มีความสำคัญจากยุคโชวะ โดยหน่วยงานวัฒนธรรมจากภาครัฐ

การเดินทางไปมหาวิทยาลัยวาเซดะ: รถไฟสาย Yamanote สถานี Takadanobaba (เดินต่ออีกประมาณ 20 นาที) , สถานีรถไฟใต้ดิน Nishi-Waseda หรือ Waseda

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0