สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ย. ที่ผ่านมา รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีน ร่วมกับสถาบันวิจัยของจีนประกาศจัดตั้ง กลุ่มวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี 6G แห่งชาติ อย่างเป็นทางการ เพียงไม่กี่วันหลังจากการเปิดตัวให้บริการเครือข่าย 5G ในเชิงพาณิชย์ทั่วประเทศของบริษัทผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ 3 รายของจีน
ท่ามกลางหลายประเทศทั่วโลกในปัจจุบันที่ต่างแข่งขันกันเปิดตัวเครือข่าย 5G โดยเฉพาะสหรัฐและจีน โดยเครือข่าย 5G สามารถให้ความเร็วข้อมูลมากกว่า 4G อย่างน้อย 20 เท่า ซึ่งจะส่งผลให้การพัฒนาและการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ ๆ เป็นไปได้อย่างง่ายได้ ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ไร้คนขับ หรือ เทคโนโลยีการผสมผสานโลกเสมือนจริง (เออาร์) ซึ่ง 6G จะมีความเร็วเพิ่มจาก 5G ถึง 100 เท่า
ขณะที่ การแข่งขันทางเทคโนโลยีระหว่าง 2 มหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐมีมาโดยตลอด โดยเฉพาะกรณีของ “หัวเว่ย” บริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์เทคโนโลยักษ์ใหญ่ของจีน ซึ่งเป็นเสาหลักของการพัฒนาเครือข่าย 5G แต่ถูกรัฐบาลสหรัฐประกาศขึ้นบัญชีดำโดยอ้างว่า อุปกรณ์ของหัวเว่ยอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสอดแนมของทางการจีน นอกจากนี้สหรัฐยังโน้มน้าวให้ประเทศพันธมิตรใช้มาตรการแบนเทคโนโลยีของหัวเว่ยด้วย
ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐเคยประกาศในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมาว่า จะผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยี 6G ในสหรัฐโดยเร็วที่สุดด้วยเช่นกัน
การประกาศเดินหน้าพัฒนา 6G ของจีนอย่างเป็นทางการครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของจีนในการเผชิญหน้ากับสหรัฐ หลังจากที่จีนเพิ่งเปิดตัวบริการ 5G เร็วกว่ากำหนดเดิมที่ตั้งเป้าจะเปิดตัวในปีหน้า มหาอำนาจทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพออีกต่อไปแล้วสำหรับจีน ก้าวต่อไปของพญามังกรคือ การเป็นมหาอำนาจทางเทคโนโลยีของโลก
