โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

จำคุก “นายก-ปลัด อบต.สามัคคี” 50 ปี คดีทุจริตซ่อมถนน 12 โครงการ

สยามรัฐ

อัพเดต 17 ก.ย 2562 เวลา 07.20 น. • เผยแพร่ 17 ก.ย 2562 เวลา 07.20 น. • สยามรัฐออนไลน์
จำคุก “นายก-ปลัด อบต.สามัคคี” 50 ปี คดีทุจริตซ่อมถนน 12 โครงการ

ศาลอาญาคดีทุจริตฯ สั่งจำคุก “นายก-ปลัด อบต.สามัคคี”คนละ 50 ปี ในข้อหาร่วมกันกระทำการทุจริตโครงการจ้างเหมาซ่อมแซมถนนลูกรัง ในพื้นที่ ต.สามัคคี เมื่อปี 2558 จำนวน 12 โครงการ ขณะที่ผู้ร่วมขบวนการ ไม่รอด!! โดนจำคุก-ปรับเงินอื้อ แต่ศาลฯให้รอลงอาญาไว้ก่อน เหตุไม่เคยต้องคดีและสมควรให้โอกาศกลับใจ

ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4 เมื่อเวลา 10.30น.วันที่ 17 ก.ย.62 ศาลได้เผยแพร่คำพิพาก ษาคดีหมายเลขดำที่ อท 135/2561 และคดีหมายเลขแดงที่ อท.116/2562 ลงวันที่ 10 ก.ย.62 ที่พนักงานอัยการ สำ นักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายเกียรติศักดิ์ บัวคำโคตร อดีตนายก อบต.สามัคคี อ.ร่องคำ จ.กาฬสินธุ์ จำเลยที่ 1 พร้อมพวกรวม 14 คน ประกอบด้วยจำเลยที่ 2 นายสมพงษ์ สกุลรัตน์ ปลัด อบต.สามัคคี,จำเลยที่ 3 ผู้อำนวยการกองคลัง,จำเลยที่ 4 หัวหน้าสำนักปลัด,จำเลยที่ 5 ผู้อำนวยการกองการศึก ษา,จำเลยที่ 6 นักบริหารการศึกษา รักษาราชการแทนหัวหน้าส่วนโยธา,จำเลยที่ 7 นักวิชาการจัดเก็บรายได้ ระดับ 7 ,จำเลยที่ 8 เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป ,จำเลยที่ 9 นักวิชาการจัดเก็บรายได้ ระดับ 5 ,จำเลยที่ 10 นักวิชาการพัสดุระ ดับ 6 ,จำเลยที่ 11-13 เป็นคู่สัญญาผู้รับจ้าง และจำเลยที่ 14 ในฐานะส่วนตัว และฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 13 ฐานร่วมกันกระทำการทุจริตโครงการซ่อม แซมถนนลูกรังภายในพื้นที่ ต.สามัคคีประจำปีงบประมาณ 2558 จำ นวน 12 โครงการ

โดยพนักงานอัยการฯตรวจพบว่า จำเลยไม่ได้ดำเนินการตามโครงการให้ถูกต้อง ครบถ้วนตามบันทึกตกลงการจ้างที่ทำไว้ เป็นเหตุให้ อบต.สามัคคี ได้รับความเสียหาย ซึ่งในชั้นพิจารณามีเพียง จำเลยที่ 8 ซึ่งได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ในโครงการที่ 3,6,8และ 11 กับจำเลยที่ 12 ซึ่งเป็นคู่สัญญาผู้รับจ้างในโครง การที่ 5 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยคนอื่นๆได้ให้การปฎิเสธ

ทั้งนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4 ได้พิจารณาแล้ว จึงมีคำสั่งลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1,2,3,4 และที่ 10 มีกำหนดคนละ 50 ปี และปรับจำเลยที่ 3,4 และ 10 คนละ 60,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 5 ให้จำคุก 12 ปี 1 6 เดือน และปรับ 20,000 บาท จำเลยที่ 6 และ 7 ให้จำคุกคนละ 36 ปี 48 เดือนและปรับคนละ 60,000 บาท จำเลยที่ 8ให้จำคุก 6 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 9 ให้จำคุก 12 ปี 16 เดือน และปรับ 20,000 บาท จำเลยที่ 11 ให้จำคุก 18 ปี 24 เดือน และปรับ 300,000 บาท จำเลยที่ 12 ให้จำคุก 1 ปี 8 เดือน และปรับ 2,500 บาท จำเลยที่ 13 ซึ่งเป็นนิติบุคคล ให้ปรับ 25,000 บาท และจำเลยที่ 14 ให้จำคุก 15 ปี 20 เดือน และปรับ 20,000 บาท

ทั้งนี้จากการพิเคราะห์พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่ 3,4,5,6,7,8,9,10,11,12 และ 14 ที่ปรากฏในชั้นพิจารณาตลอดจนรายงานสืบเสาะและพินิจสำหรับจำเลยที่ 3,4,5,6,7,8,9,10,11 และ 14 แล้วไม่ปรากฏว่าเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จำเลยที่ 3,4,5,6,7,8,9และ 20 ได้ถูกลงโทษทางวินัยถูกไล่ออกจากราชการมาก่อนแล้วและล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชามีหน้าที่ปฎิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา คือ จำเลยที่ 1 และ 2 เห็นสมควรให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี โดยจำคุกจำเลยที่ 3,4,5,6,7,8,9,10,11,12 และ ที่ 14 ให้รอการลงโทษ 2 ปี

ทั้งนี้คดีดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ประชาชนในพื้นที่ อ.ร่องคำ ได้ร้องเรียนต่อสำนักงาน ป.ป.ช., ศูนย์ดำรงธรรม,ท้องถิ่นจังหวัด, สตง,และ ป.ป.ท. จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้ตรวจสอบโครงการดังกล่าว เมื่อปี 2558 โดยได้มีการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง จนกระทั่งสำนักงาน ป.ป.ช.จ.กาฬสินธุ์ มีมติสั่งฟ้องจนนำมาสู่การตัดสินคดีดังกล่าวในครั้งนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0