ฝุ่นพิษ "PM2.5" กลับมาเยือนชาวกรุงอีกครั้งในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ โดยล่าสุด.. เช้าวันนี้ (15 ธ.ค.) เว็บไซต์ Airvisual รายงานระดับมลพิษในอากาศในกรุงเทพฯ ระบุว่า มีดัชนีอยู่ที่ 178 AQI สารมลพิษหลักคือ ฝุ่น PM 2.5 ทำให้พุ่งติดอันดับที่ 3 เมืองอากาศแย่ที่สุดในโลก ขณะเดียวกัน "คณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5" ได้ออกมาแถลงข่าวถึงการแก้ปัญหาฝุ่นพิษดังกล่าว โดยหลักๆ เน้นควบคุมดูแล 3 เรื่อง คือ
1.ขอความร่วมมือรถบรรทุกไม่วิ่งเข้ากรุงเทพฯ ชั้นใน และเพิ่มด่านตรวจจับรถควันดำเกินมาตรฐาน 2.จัดชุดเจ้าหน้าที่ออกตรวจตราไม่ให้มีการเผาขยะหรือเผาทุ่ง 3.พิจารณาการฉีดพ่นน้ำละอองฝอยเพื่อดักจับฝุ่นในอากาศ
นี่เป็นเพียงมาตรการเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งประชาชนก็ต้องดูแลตัวเองควบคู่ไปด้วย โดยการสวมใส่ "หน้ากากอนามัย" เพื่อป้องกันทั้ง "โควิด-19" และฝุ่นพิษ "PM 2.5" ไปพร้อมๆ กัน โดยหน้ากากอนามัยแต่ละรูปแบบมีคุณสมบัติที่ต่างกัน ซึ่งก็ควรเลือกใช้ให้ถูกประเภท อีกสิ่งหนึ่งที่หลายคนนำมาเป็นตัวช่วยลดฝุ่นพิษภายในบ้าน ก็คือ "เครื่องฟอกอากาศ"
มีผลสำรวจของเว็บไซต์เปรียบเทียบราคา"ไพรซ์ซ่า" (Priceza) ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2562 ที่เกิดสถานการณ์ฝุ่นละออง มีการซื้อขายเครื่องฟอกอากาศสูงถึงราว 30,000 เครื่องต่อเดือน คิดเป็น 400% เมื่อเทียบกับยอดขายช่วงก่อนจะเกิดวิกฤติฝุ่น คำถามต่อมาคือ ถ้าจะซื้อเครื่องฟอกอากาศสักเครื่องเราต้องพิจารณาจากอะไรบ้าง“กรุงเทพธุรกิจออนไลน์” ได้รวบรวมข้อมูลเบื้องต้นและสรุปออกมาเป็น5 เทคนิคเลือกและใช้ "เครื่องฟอกอากาศ" สู้ฝุ่นจิ๋วPM2.5
ปัจจุบันหลากหลายแบรนด์ออกผลิตภัณฑ์เครื่องฟอกอากาศมาจำนวนมากมีการนำฟังก์ชั่นและเทคโนโลยีทันสมัยเข้ามาเสริมจุดเด่นให้แบรนด์คราวนี้ผู้บริโภคอย่างเราๆจะเลือกเครื่องฟอกอากาศจากคุณสมบัติอะไรบ้างเว็บไซต์iurban ได้สรุปไว้5 เทคนิคหลักๆดังนี้
1. ดูจากความละเอียดฟิลเตอร์หรือไส้กรองของเครื่องฟอกอากาศ
ฟิลเตอร์หรือไส้กรองอากาศนับเป็นหัวใจของเครื่องฟอกอากาศเลยก็ว่าได้เบื้องต้นขออธิบายก่อนว่ามาตรฐานฟิลเตอร์แบ่งออกได้ราว3 ประเภทคือ1.EPA มีความละเอียดในการกรอง3 ระดับได้แก่E 10, E 11 และE 12 สามารถดักจับฝุ่นที่มีความละเอียดได้ราว85-99.5% ต่อมา2.HEPA มี2 ระดับได้แก่H 13 และH 14 มีความละเอียดในการดักจับฝุ่นราว99.95-99.9995% และ3.ULPA ที่มีความละเอียดในการดักจับฝุ่นมากที่สุดได้ถึง99.9995-99.999995%
ซึ่งฟิลเตอร์ที่แพทยสภาแนะนำสำหรับการเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศก็คือHEPA เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการดักจับฝุ่นสูงสอดคล้องกับข้อมูลของเว็บไซต์iurban ที่บอกว่าแม้จะมีฟิลเตอร์ที่มีมาตรฐานสูงกว่าอย่างULPA แต่ผู้ประกอบการไม่ค่อยเลือกนำเทคโนโลยีนี้มาใช้เพราะสำหรับผู้บริโภคแค่HEPA ก็เพียงพอแล้วเพราะสามารถดักจับแบคทีเรียแลัเกษรดอกไม้ที่เป็นสาเหตุของอาการภูมิแพ้ได้โดยไม่ต้องใช้นวัตกรรมอื่นๆ
รวมถึงในตลาดก็มีการผลิตเครื่องฟอกอากาศที่ใช้ฟิลเตอร์ต่ำกว่าอย่างEPA ด้วยโดยตั้งราคาไว้ใกล้เคียงกับHEPA แต่ยังไม่มีฟิลเตอร์ประเภทใดที่สามารถกรองแบคทีเรียได้เลย
2. ดูจากขนาดห้อง
ต้องบอกก่อนว่าเครื่องฟอกอากาศแต่ละเครื่องเหมาะกับขนาดห้องที่แตกต่างกันซึ่งเราจำเป็นต้องรู้ขนาดห้องก่อนที่จะเลือกซื้อโดยสูตรการคำนวณง่ายๆคือความกว้างของห้องx ความยาวของห้องเช่นห้องนอนกว้าง4 เมตรและยาว4 เมตร= ขนาดห้องคร่าวๆ16 ตารางเมตรแต่ไม่รวมถึงห้อง2 ชั้นแบบDouble Volumn จะต้องมีการคำนวณพื้นที่เพิ่มไปอีก
เมื่อเราเลือกขนาดเครื่องได้แล้วขั้นตอนต่อไปคือการสังเกตค่าCADR (Clean Air Delivery Rate) หรืออัตราการเปลี่ยนถ่ายอากาศหมายความว่าค่านี้จะบอกปริมาณอากาศที่ฟอกแล้วไม่ใช่อากาศที่ผ่านเข้าไปโดยยังไม่ได้ฟอกซึ่งเครื่องจะอ่านค่าออกมาเป็นหน่วยลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมงก็จะทำให้เราสามารถเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศได้ง่ายขึ้นโดยใช้ค่าปริมาณอากาศที่ฟอกได้ต่อชั่วโมงเปรียบเทียบกับราคา
ทั้งนี้หากในบ้านมีการแบ่งห้องเป็นสัดส่วนชัดเจนการเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศขนาดเล็กและกระจายตามโซนต่างๆดูจะเป็นทางออกที่ดีแต่หากเป็นคอนโดมิเนียมมีเพียงเครื่องเดียวก็เพียงพอและวางไว้ในห้องที่มีพื้นที่มากที่สุดและถ้าเป็นห้องที่มีการเปิดและปิดบ่อยๆเช่นร้านกาแฟเป็นต้นควรใช้เครื่องที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น
3. ดูเรื่องของการเปลี่ยนฟิลเตอร์ในอนาคต
สิ่งสำคัญเมื่อซื้อเครื่องฟอกอากาศมาแล้วหากใช้ไปสักพักฟิลเตอร์ที่เก็บและดักฝุ่นมานานอาจหมดประสิทธิภาพหากไม่เปลี่ยนเครื่องฟอกอากาศอาจกลายเป็นพัดลมตัวหนึ่งที่ปล่อยลมออกมาเท่านั้นแต่ไม่สามารถฟอกอากาศได้ซึ่งผู้บริโภคไม่ต้องกังวลไปเพราะเครื่องฟอกอากาศหลายรุ่นมักจะมีตัวจับเวลาเปิดปิดเครื่องเพื่อแจ้งให้ผู้ใช้รู้ว่าควรจะเปลี่ยนฟิลเตอร์เมื่อใด
4. ดูฟังก์ชั่นเสริมในการฆ่าเชื้อโรค
แน่นอนว่าด้วยสถานการณ์ฝุ่นละอองที่รุนแรงมากขึ้นและเกิดขึ้นต่อเนื่องและแต่ละครั้งก็กินระยะเวลายาวนานส่งผลต่อสุขภาพของหลายๆคนทำให้ตลาดเครื่องฟอกอากาศเกิดการแข่งขันสูงดังนั้นผู้ประกอบการแบรนด์ต่างๆ ก็หาฟังก์ชั่นเสริมเข้ามาเติมแต่งเครื่องฟอกอากาศของแบรนด์ตัวเองให้กโดดเด่นเพื่อจูงใจลูกค้าให้เลือกซื้อเช่นการนำไอออนมากำจัดเชื้อโรคหรือการเพิ่มฟิลเตอร์คาร์บอนเพื่อดูดซับกลิ่นรวมถึงการใช้ประจุไฟฟ้าไทเทเนียมหรือแสงอัลตราไวโอเลทเป็นต้น
แต่ก็มีข้อระมัดระวังสำหรับบางฟังก์ชั่นเช่นการนำโอโซนเข้ามาใช้ฆ่าเชื้อโรคแต่ไม่เหมาะที่จะเปิดเป็นเวลานานเพราะจะส่งผลต่อเซลล์ในร่างกาย
5. ดูฟังก์ชั่นเสริมอื่นๆ
และในยุคที่เทคโนโลยีหรือดิจิทัลเข้ามาแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเราการเลือกเครื่องฟอกอากาศที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่เช่นบางรุ่นสามารถเชื่อมต่อWIFI ได้หรือสามารถสั่งงานผ่านแอพพลิเคชั่นทางโทรศัพท์มือถือได้แม้ว่าเรายังไม่ถึงบ้านก็เปิดเครื่องฟอกอากาศรอได้เลยหรือบางรุ่นก็ปรับอัตราการอากาศเองได้อัตโนมัติเมื่อมีปริมาณฝุ่นมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีเกณฑ์การพิจารณาอื่นๆเช่นอัตราการกินไฟ หรือความเงียบของเครื่องขณะทำงานรวมถึงการบริการหลังการขายศูนย์ให้บริการต่างๆเป็นต้น
*ที่มา : เว็บไซต์ iurban, วารสารศิริราช*