เมื่อเวลา 13.00 น. ที่ ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัว นายศุภชัย ศรีศุภอักษร จำเลยในคดี "ยักยอกทรัพย์" จากเรือนจำพิเศษบางขวาง มายังศาลอาญา เพื่อฟังคำพิพากษาฎีกา คดีดำอ.1739 / 58 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้อง นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อายุ 62 ปี อดีตประธาน กรรมการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำเลยในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 32 ปี ต่อมา นายศุภชัยยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้จำคุก 14 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุก 7 ปี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง >> ดีเอสไอแจงแนวทางเยียวยาสมาชิกสหกรณ์คลองจั่น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง >> ปปง. อายัดทรัพย์สำนักทรงเจ้า เชียงใหม่ เครือข่ายอดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนียนฯ พบทรัพย์สินมีค่าจำนวนมาก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง >> ดีเอสไอ เร่งสอบผู้ต้องหาฟอกเงินสหกรณ์ฯ คลองจั่น
สำหรับคดีนี้อัยการโจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2558 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2556 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด จัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2555 และที่ประชุมมีมติเลือกนายศุภชัย จำเลย เป็นประธานกรรมการดำเนินการสหกรณ์ชุดที่ 29 อยู่ในตำแหน่ง 2 ปี ต่อมานายทะเบียนสหกรณ์ได้ตรวจสอบพบว่าการเรียกประชุมใหญ่ไม่เป็นไปตามข้อบังคับและกฎหมาย นายทะเบียนจึงมีหนังสือลงวันที่ 23 เม.ย. 2556 ไม่รับรองตำแหน่งประธานกรรมการจากการประชุมดังกล่าว
ต่อมาสหกรณ์ยูเนี่ยนฯ ได้ประชุมใหญ่วิสามัญและมีมติให้การรับรองนายศุภชัย จำเลย เป็นประธานกรรมการดำเนินการสหกรณ์อีกครั้ง และยังเปิดประชุมคณะกรรมการดำเนินการชุดที่ 2 สมัยสามัญ ครั้งที่ 1/2556 และมีมติแต่งตั้งนายศุภชัย จำเลย ปฏิบัติหน้าที่ผู้จัดการสหกรณ์ฯ อีกตำแหน่งด้วย กระทั่งวันที่ 10 เม.ย. - 8 ต.ค. 2556 จำเลย ซึ่งเป็นประธานกรรมการสหกรณ์ยูเนี่ยนคลองจั่นฯ ได้กระทำการทุจริต โดยให้เจ้าหน้าที่บัญชีเบิกเงินสดของสหกรณ์ ผู้เสียหาย หลายครั้งหลายหนรวม 8 ครั้งๆ ละระหว่าง 184,000-6,000,000 บาท รวม 22,132,000 บาทเข้าบัญชีของจำเลย หรือบุคคลที่ 3 โดยทุจริต เหตุเกิดที่ทำการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม. โดยจำเลยให้การปฏิเสธ
อย่างไรก็ตาม ต่อมาเมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2559 จำเลยได้ให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก, 353, 354 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันรวม 8 กระทง จำคุกกระทงละระหว่าง 3-5 ปี รวมจำคุก 32 ปี คำให้การจำเลยรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้ 16 ปี พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วนับเป็นเรื่องร้ายแรง โทษจำคุกจึงไม่มีเหตุให้รอลงอาญา
จำเลยยื่นอุทธรณ์ ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353, 354 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน รวม 8 กระทง กระทงละ 1-2 ปี รวมจำคุก 14 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลย 7 ปี
ทั้งนี้ ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ฎีกาคัดค้านของจำเลยมีเหตุตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้แล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ จำคุกจำเลย 7 ปี