จากเหตุการณ์ภาพนักเรียนสองคนถูกไถศีรษะเนื่องจากผมผิดระเบียบกระจายทั่วสื่อออนไลน์ นายประจวบ ผลิตผลการพิมพ์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายการสื่อสารสาธารณะ ศูนย์วิจัยเพื่อความปลอดภัยในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี ให้สัมภาษณ์เวิร์คพอยท์ว่า ครูต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น เนื่องจากอาจผิดกฎหมายได้ และยังทำให้นักเรียนผู้ถูกกระทำเกิดบาดแผลทางจิตใจ
โดยกล่าวว่ากรณีครูไถผมเด็กเนื่องจากผิดระเบียบ เสี่ยงผิดกฎหมายหลายข้อด้วยกัน ทั้งพระราชบัญญัติ คุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖
มาตรา 27 ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาหรือเผยแพร่ทางสื่อมวลชนหรือสื่อสารสนเทศประเภทใด ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กหรือผู้ปกครอง โดยเจตนาที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่จิตใจ ชื่อเสียง เกียรติคุณ หรือสิทธิประโยชน์อื่นใดของเด็ก หรือ เพื่อแสวงหาประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ แม้ครูจะมิได้เป็นผู้เผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดีย แต่ก็ทำให้นักเรียนผู้ถูกกระทำอับอายขายหน้า เสื่อมเสียชื่อเสียง และยังเป็นการทำร้ายจิตใจเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากได้เผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ซึ่งแพร่กระจายในวงกว้าง
ระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2548 ระบุการลงโทษนักเรียนไว้อย่างชัดเจนว่ามีเพียง 1.ว่ากล่าวตักเตือน 2.ทำทัณฑ์บน 3. ตัดคะแนนความประพฤติ 4.ทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เท่านั้น ซึ่งนายประจวบชี้ว่า "ไม่มีข้อใดเลยที่ระบุว่ามีสิทธิกร้อนผมนักเรียน"
เจ้าหน้าที่ฝ่ายการสื่อสารสาธารณะ ศูนย์วิจัยเพื่อความปลอดภัยในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดีบอกว่า การลงโทษด้วยรูปแบบขข้างต้นต้องได้รับอำนาจจากผู้บริหารโรงเรียนแล้วเท่านั้น ไม่มีสิทธิใช้อำนาจตามอำเภอใจ
สุดท้ายนายประจวบ ชี้ว่าครูที่ทำพฤติกรรมเยี่ยงนี้ยังมีโอกาสรับโทษฐานกระทำผิดต่อ พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 (เด็กคือบุคคลที่อายุไม่ถึง18ปี) โดยผิดต่อมาตรา26 นั่นคือการกระทำการอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน3หมื่นบาท หรือทั้งจำคุกทั้งปรับ