โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

จดหมายของวอเร็น บัฟเฟตต์ สอนอะไรนักลงทุนไทยในปี 2019

Stock2morrow

อัพเดต 24 ก.พ. 2563 เวลา 02.00 น. • เผยแพร่ 24 ก.พ. 2563 เวลา 02.00 น. • Stock2morrow
จดหมายของวอเร็น บัฟเฟตต์ สอนอะไรนักลงทุนไทยในปี 2019
จดหมายของวอเร็น บัฟเฟตต์ สอนอะไรนักลงทุนไทยในปี 2019

สำหรับนักลงทุนสาย Value Investor คงจะรู้สึกตื่นเต้นไม่ใช่น้อยที่จะได้อ่านงานเขียนของนักลงทุนระดับตำนานตลอดกาลอย่าง Warren Buffett สำหรับในปี 2019 ก็เหมือนทุกปีที่เราจะต้องหยิบมา "เก็บตก" ใน "จดหมายถึงผู้ถือหุ้น" ว่ามีอะไรบ้างที่นักลงทุนชาวไทยนำมาปรับใช้ได้

.. ไปดูกันครับ

1. นักลงทุนไม่ควรมุ่งเน้นไปที่ผลกำไร-ขาดทุน ของพอร์ตการลงุทนเพียงอย่างเดียว แต่ให้มุ่งเน้นในเรื่องสินทรัพย์ของพอร์ตที่ใหญ่ขึ้น
มาตรฐานบัญชีใหม่ทำให้เบิร์กไซด์ต้องบันทึกงบกำไร-ขาดทุนแบบใหม่ด้วย คือ ให้รับรู้กำไรและขาดทุน จากพอร์ตการลงทุน เมื่อปิดงบบัญชีทันที (unrealized gains) และนั้นคือสิ่งที่วอเร็น และชาลี ไม่เคยสนใจเลย หรือแม้แต่กำไรที่เกิดจากการขายหุ้น (realized gains) ก็อย่าไปสนใจมากเพราะสิ่งเหล่านี้เกิดจากการขึ้นลงของตลาด เป็นภาพระยะสั้น

 

สิ่งที่นักลงทุนควรสนใจ คือ กำไรจากการดำเนินงาน (operating earnings) ของบริษัทเพิ่มขึ้นหรือไม่ และมูลค่าโดยเนื้อแท้ (intrinsic value) เพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน โดยที่ผ่านมามูลค่าโดยเนื้อแท้ของบริษัทที่เบิร์กไซด์ไปถือหุ้นอยู่นั้น เพิ่มขึ้นทีละเล็ก ทีละน้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราพอใจและยึดถือมันมาโดยตลอด

 

หุ้น 10 อันดับแรกที่เบิร์กไซด์ถืออยู่มากที่สุด เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่บัฟเฟตต์ให้ความสำคัญ คือ Retained Earnings และ Dividends ของบริษัทที่มีมูลค่าประมาณหลักพันล้านเหรียญ ซึ่งถ้าคิดเทียบกับมูลค่าที่กำไรจากราคาหุ้นหลักแสนล้านเหรียญแล้ว เทียบกันไม่ได้เลย แต่ยังไงก็ตามบัฟเฟตต์ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอยู่ดี
(ที่มาภาพ : จดหมายถึงผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway ปี 2019)

(เพิ่มเติมโดยผู้เขียน) สำหรับนักลงทุนชาวไทยแล้ว เราอาจจะมองว่า Operating Earnings คือการจ่ายปันผลของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มมากขึ้นน้อยแค่ไหน และ Intrinsic value เราอาจจะมองว่าเป็น Book Value ของบริษัทว่ามีการเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนในแต่ละปี ถ้ามีการเพิ่มขึ้นแสดงว่าบริษัทยังทำกำไรได้อยู่ ยังมีปันผลให้กับผู้ถือหุ้น

 

2. หุ้นจะให้ผลตอบแทนดีที่สุดในระยะยาว
วอเร็น บัฟเฟตต์ อ้างถึงหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ Common Stocks as LongTerm Investments เขียนโดย Edgar Lawrence Smith ซึ่งเขาบอกว่าเป็นหนังสือเล่มบางๆที่เขียนได้ดีเล่มหนึ่ง แนะนำให้หามาอ่าน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขา "เคย" เห็นด้วย คือ หุ้นจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตราสารหนี้เมื่ออยู่ในสภาวะเงินเฟ้อ ในทางตรงกันข้ามตราสารหนี้จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเมื่ออยู่ในสภาวะเงินฝืด ซึ่งมันดูสมเหตุสมผล แต่ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์อเมริกาแล้ว คุณสมิทธ์อาจจะต้องตกใจ

 

ในอดีตมีนักธุรกิจอเมริกาจำนวนมาก เปิดบริษัท ทำกำไรให้บริษัทและเก็บสะสมกำไรเอาไว้เพื่อนำมาลงทุนในกิจการต่อ ลงทุนมากขึ้นบริษัทก็ยิ่งกำไรมากขึ้น ยิ่งกำไรมากขึ้น ก็ยิ่งสร้างความมั่งคั่งให้กับเจ้าของบริษัทมากขึ้น เราเรียกมันว่า The Power of Retained Earnings พลังทบต้นของกำไรสะสมที่นำมาลงทุนเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในระยะยาวแล้ว บริษัทที่นำกำไรสะสมมาลงทุนในกิจการเพิ่มเติมจะให้ผลตอบแทนดีกว่านำเงินมาปันผลให้กับผู้ถือหุ้น

 

(เพิ่มเติมโดยผู้เขียน) สำหรับนักลงทุนชาวไทยแล้ว วอเร็น บัฟเฟตต์ ต้องการสื่อว่า ผลตอบแทนจากบริษัทเอกชนในอเมริกาที่มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องเอาชนะผลตอบแทนจากตราสารหนี้ ได้ทุกยุคทุกสมัยไม่ว่าจะเจอกับเงินเฟ้อ หรือเงินฝืด ในขณะเดียวกันนักลงทุนที่ได้ปันผลจากบริษัทแล้ว นำเอาเงินปันผลมาซื้อหุ้นคืน จะเจอกับพลังของดอกเบี้ยทบต้นที่มากขึ้น ซึ่งสามารถเอาชนะอัตราเงินเฟ้อและผลตอบแทนจากตราสารหนี้ได้

 

3. การซื้อหุ้นก็เหมือนกับการแต่งงาน บางครั้งก็มีความสุข บางครั้งก็ไม่สมหวัง ปะปนกันไป
วอเร็น บัฟเฟตต์ ยอมรับว่ามีการลงทุนจำนวนมากที่เขาไม่ได้กล่าวถึง สรุปเป็นภาพสั้นๆว่าการซื้อกิจการ (ซื้อหุ้น) ก็เหมือนกับการแต่งงาน เพียงแต่ว่าเขาแต่งงานหลายครั้งเกินไปสักหน่อย ซึ่งการแต่งงานช่วงแรกๆมันก็ดูดี อะไรก็สวยงามไปซะหมด แต่หลังจากนั้นจะเริ่มทะเลาะกัน มีแต่ปัญหา และบางครั้งก็จบลงด้วยการหย่าร้าง ชีวิตจริงไม่ได้สวยงาม การลงทุนก็เช่นเดียวกัน มีกำไรบ้าง มีขาดทุนบ้าง

 

แต่โชคดี ที่ผมทำผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง บริษัทแย่ๆที่ผมลงทุนไป มันจะเล็กลงเรื่อยๆจนเป็นส่วนเล็กน้อยของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของเบิร์กไซด์ทั้งหมด (ever-smallerpercentage of Berkshire’s capital)
ในขณะที่หุ้นที่ลงทุนถูกตัว มันจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนกลายมาเป็นเงินส่วนใหญ่ของเบิร์กไซด์ทั้งหมด

 

(เพิ่มเติมโดยผู้เขียน) สรุปง่ายๆคือ ในการลงทุน เราจะเจอกับการผิดหวัง มากกว่าจะสมหวัง แต่การลงทุนที่ถูกจะเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนให้ใหญ่ขึ้น ในขณะที่การลงทุนในหุ้นที่ผิดจะเล็กลงเรื่อยๆ ก็เหมือนกับที่ปีเตอร์ ลินซ์ เคยกล่าวเอาไว้ หุ้น 1 เหรียญมีโอกาสลงได้มากที่สุด คือ 0 บาท (ถูกเอาออกจากตลาด) และนักลงทุนก็จะสูญเสียเงินลงทุนจำนวนนั้นไป ในขณะเดียวกันหุ้น 1 เหรียญสามารถขึ้นได้ 100 เหรียญ .. 200 เหรียญ .. 1000 เหรียญ หรือแม้แต่ 1 หมื่นเหรียญ ขึ้นได้แบบไร้ขีดจำกัด

4. หลักการลงทุน 3 ประการ ที่นักลงทุนต้องใส่ใจ
วอเรีน บัฟเฟตต์ และชาลี มังเกอร์ กำลังประสบปัญหากับการนั่งทับเงินจำนวนมากและนับวันจะยิ่งมากขึ้น โดยไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง สิ่งที่พอจะทำได้คือ การมองหาบริษัทที่น่าสนใจเพื่อเข้าลงทุน โดยจะต้องมีหลักสำคัญ 3 อย่าง ที่ถือเป็นกฏในการเข้าลงทุน คือ
*1. บริษัทสร้างผลตอบแทนที่ดี มีกำไรเพิ่มขึ้น

  1. ผู้บริหารที่มีความสามารถ
  2. ราคาต้องสมเหตุสมผล*

 

นี้เป็น 4 ข้อสำคัญ ที่จดหมายถึงผู้ถือหุ้นที่เขียนโดยวอเร็น บัฟเฟตต์ ต้องการจะสื่อถึงนักลงทุน และเราซึ่งเป็นคนไทยมีประเด็นอะไรที่น่าเก็บไปคิดต่อบ้าง

===========================

ขอบคุณแหล่งข้อมูล
https://www.berkshirehathaway.com/letters/2019ltr.pdf

https://www.investopedia.com/5-takeaways-from-warren-buffett-s-annual-letter-4797150

stock2morrow

ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0