ปัญหาโลกร้อนเป็นสิ่งที่หลายๆ คนตระหนักว่าใกล้ตัวทุกคนเข้ามาทุกที และมักจะมีข้อมูลออกมาอยู่เป็นระยะถึงความร้ายแรงของปัญหา ใครมีส่วนเกี่ยวข้องบ้าง และความคืบหน้าในการร่วมกันแก้ไขปัญหาไปถึงไหนแล้ว
ล่าสุด สถาบันความรับผิดชอบต่อภูมิอากาศ (Climate Accountability Institute) ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา ก็ออกมาเปิดเผยผลการศึกษาที่ระบุว่า บริษัทพลังงานฟอสซิล ทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ยักษ์ใหญ่ของโลก 20 บริษัท มีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมากน้อยเพียงใด
โดยผลการศึกษาพบว่า ทั้ง 20 บริษัท ที่หลายบริษัทเราอาจคุ้นชื่อ เช่น เชฟรอน เอ็กซอนโมบิล บีพี โตตาล ฯลฯ ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งคาร์บอนไดออกไซด์และมีเทน ช่วงระหว่างปี ค.ศ.1965-2017 รวมกันถึง 480,168 ตัน คิดเป็น 35.45% ของปริมาณที่กิจกรรมของทั้งโลกผลิตได้ในช่วงเวลาเดียวกัน
หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดี้ยนของอังกฤษ พยายามติดต่อ 20 บริษัทที่มีชื่ออยู่ในลิสต์ พบว่าติดต่อได้ 7 บริษัท บางบริษัทชี้แจงว่าตัวเลขที่ออกมา ส่วนหนึ่งเกิดจากการใช้งานของผู้บริโภคเองด้วย บางบริษัทก็ระบุว่า นั่นเป็นตัวเลขการปล่อยก๊าซสะสม ปัจจุบัน อุตสาหกรรมก็พยายามหาทางช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อไม่ให้อุณหภูมิโลกเฉลี่ยสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เทียบกับยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม ตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement)
ไมเคิล มานน์ นักวิทยาศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมชื่อดังของโลก เผยว่าผลการศึกษานี้ช่วยฉายให้เห็นบทบาทของบริษัทพลังงานฟอสซิลต่อปัญหาโลกร้อน และหวังว่าจะทำให้บรรดานักการเมืองช่วยกันหาวิธีลดกิจกรรมของบริษัทเหล่านี้ ในการประชุมนานาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ ที่ประเทศชิลี ปลายปีนี้
"เพราะโศกนาฎกรรมของวิกฤตโลกร้อนก็คือ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจริงๆ คือประชากรโลกทั้งกว่า 7,000 ล้านคน" มานน์ระบุ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
http://climateaccountability.org/pdf/CAI%20PressRelease%20Top20%20Oct19.pdf
https://www.theguardian.com/environment/2019/oct/09/revealed-20-firms-third-carbon-emissions
https://www.theguardian.com/environment/2019/oct/09/climate-emergency-what-oil-gas-giants-say
#Brief #TheMATTER