คาราวานผู้อพยพชาวอเมริกากลางเผชิญสถานการณ์อันน่าสิ้นหวังเมื่อวันศุกร์ เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงชายแดนระหว่างเม็กซิโก-สหรัฐฯ มากขึ้นเรื่อย ๆ และพบกับความจริงว่าแทบจะไม่มีโอกาสข้ามฝั่งไปยังสหรัฐฯ ได้เลย
หลังจากที่ผู้อพยพเดินเท้ามานานกว่าหนึ่งเดือนเป็นระยะทาง 4,300 กิโลเมตรมายังเมืองติฮัวนา อันเป็นชายแดนของประเทศเม็กซิโกที่ติดกับสหรัฐอเมริกา พวกเขาก็พบว่าความฝันอเมริกันที่ฝันถึงอาจไม่มีวันเป็นจริง เพราะต้องรอยื่นเอกสารขอที่ลี้ภัย ซึ่งมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้รับการอนุมัติ
ออสมาน บูเอโซ ชายชาวฮอนดูรัสวัย 28 ปีที่เป็นหนึ่งในผู้อพยพรายแรก ๆ ที่เดินทางมาถึงชายแดนกล่าวว่าเขาไม่คิดจะรอหลายเดือนหรือหลายปีเพื่อขอที่ลี้ภัยในสหรัฐฯ และพร้อมจะฝ่าพรมแดนข้ามไปยังสหรัฐฯ อย่างที่ผู้อพยพเคยฝ่าข้ามจากประเทศกัวเตมาลาเข้าประเทศเม็กซิโกเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม
บูเอโซเป็นหนึ่งในผู้ยื่นขอที่ลี้ภัยในสหรัฐฯ อีก 1,400 ราย ซึ่งสามารถยื่นเรื่องดำเนินการได้เฉลี่ย 30-40 กรณีต่อวัน ขณะที่ชายแดนฝั่งสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ก็ได้ส่งกองกำลังเกือบ 6,000 นายมาเตรียมปฏิบัติการป้องกันผู้อพยพเข้ามายังสหรัฐฯ ซึ่งทรัมป์กล่าวว่าเป็น “การบุกรุก” ของกลุ่มที่มีแต่ “อันธพาล” และ “อาชญากรคดีร้ายแรง”
อัลฟอนโซ นาวาร์เรเต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของเม็กซิโกกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่าโอกาสในการที่ผู้อพยพเหล่านี้จะได้ข้ามไปยังสหรัฐอเมริกานั้น “แทบจะเป็นศูนย์” โดยสหรัฐฯ ได้รับการยื่นขอที่ลี้ภัยเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 2,000 ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา และตอนนี้ยังมี 700,000 กรณีที่รอการดำเนินการ
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ก็เพิ่งออกคำสั่งประธานาธิบดีเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าผู้อพยพที่ไม่ผ่านจุดผ่านแดนอย่างถูกต้อง จะไม่ได้รับอนุญาตให้ยื่นขอที่ลี้ภัยอีก และจะถูกส่งกลับประเทศอัตโนมัติอีกด้วย
ทั้งนี้ นาวาร์เรเตเตือนว่ามีความเสี่ยงว่าอาจเกิดเหตุการณ์ตามแนวชายแดน เมื่อผู้อพยพเหลือทางเลือกไม่มากนัก และยิ่งมีคำพูดที่เป็นปฏิปักษ์จากรัฐบาลสหรัฐฯ อีก