ในการลงทุนใดๆ หากนักลงทุนยังไม่สามารถจับต้นชนปลายว่า จะเริ่มต้นได้อย่างไรนั้น สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนจำเป็นต้องรู้นอกเหนือจาก “เป้าหมาย” ในการลงทุนของตนเอง ก็คือ “ระดับความเสี่ยงที่ตนยอมรับได้ (Risk Tolerance)” ว่า สามารถรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนได้มากน้อยเพียงใด
“หากรับความเสี่ยงได้น้อย ก็ย่อมเหมาะกับทางเลือกในการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่หากรับความเสี่ยงได้สูงมาก ก็สามารถที่จะลงทุนในอะไรก็ได้ตามแต่ที่ตนเองต้องการ”
แล้วอย่างงี้จะรู้ได้ไงละว่า ตนเองรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งหากพิจารณาตามหลักวิชาการแล้ว ระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนแต่ละคนรับได้ จะสามารถประเมินได้จาก
ความสามารถในการรับความเสี่ยง (Ability to Take Risk) หมายถึง ความพร้อมที่จะลงทุน และสามารถยอมรับผลลัพธ์ที่เกิดจากการขาดทุนได้มากน้อยแค่ไหน โดยจะพิจารณาจาก ‘อายุ’ และ ‘ฐานะทางการเงิน’ ของนักลงทุนแต่ละคน
“หากมีอายุน้อย หรือฐานะการเงินเข้มแข็งก็ย่อมมีความสามารถในการรับความเสี่ยงสูง แต่หากมีอายุมาก หรือฐานะการเงินอ่อนแอ ความสามารถในการรับความเสี่ยงก็จะต่ำ”
ความเต็มใจในการรับความเสี่ยง (Willingness to Take Risk) หมายถึง พฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนผู้นั้น โดยพิจารณาจากทัศนคติที่มีต่อความเสี่ยง หากมองความเสี่ยงเป็นสิ่งที่ท้าทาย ตื่นเต้น เร้าใจ แสดงว่า เต็มใจรับความเสี่ยงได้สูง สามารถลงทุนในอะไรที่มีความไม่แน่นอนได้ ในทางกลับกัน หากมองความเสี่ยงเป็นสิ่งที่น่ากลัว ย่อมเต็มใจรับความเสี่ยงได้ต่ำ ก็จะเลือกลงทุนในอะไรที่ให้ผลลัพธ์ที่แน่นอนแทน
“แน่นอนว่า นักลงทุนคนเดียวกันอาจมีความสามารถในการรับความเสี่ยง และความเต็มใจในการรับความเสี่ยงไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันก็ย่อมได้ เช่น นักลงทุนที่ชอบความตื่นเต้นเร้าใจ แต่ฐานะการเงินกลับอ่อนแอ ย่อมไม่กล้าที่จะนำเงินไปลงทุนในอะไรที่มีความเสี่ยงสูง หรือนักลงทุนที่มองเรื่องการลงทุนเป็นสิ่งที่อันตราย แม้ว่าฐานะการเงินเข้มแข็ง แต่ก็จะไม่นำเงินมาเสี่ยงลงทุนอยู่ดี ในกรณีที่ผลการประเมินออกมาสวนทางกันเช่นนี้จะถือว่า นักลงทุนผู้นั้นรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ต่ำนั่นเอง”
อย่างไรก็ตาม การประเมินระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ตามหลักวิชาการนั้นกลับเป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ “สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)” ในฐานะผู้กำกับดูแลการทำธุรกรรมในตลาดทุนจึงได้มีการพัฒนา “แบบสอบถาม (Questionnaire)” ขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการประเมิน โดยจะมีลักษณะเป็นแบบฟอร์มมาตรฐานให้ธุรกิจหลักทรัพย์ยึดปฏิบัติเป็นรูปแบบเดียวกัน (Single Form)
ซึ่งในอดีตจะเรียกกันว่า “แบบประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk Profile Questionnaire)” แต่เพื่อให้สอดคล้องกับการให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับความต้องการของนักลงทุนภายใต้ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ จึงได้เปลี่ยนมาเรียกเป็น “แบบประเมินความเหมาะสมในการลงทุน (Suitability Test หรือเรียกสั้นๆ ว่า Suit Test)” แทนในที่สุด
“Suitability Test” ประกอบด้วยคำถามแบบปรนัย (Multiple Choices) จำนวน 12 ข้อ คำถามแต่ละข้อจะมีเกณฑ์การให้คะแนน และมีเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป โดยจะนับคะแนนรวมตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อ 10 เพื่อประเมินหาความเสี่ยงโดยรวมที่นักลงทุนรับได้ ส่วนข้อที่ 11 และข้อที่ 12 จะใช้ประเมินการยอมรับความเสี่ยงจากอัตราเลกเปลี่ยน และการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ แต่จะไม่มีการนำมานับคะแนนรวมแต่อย่างใด เมื่อนักลงทุนทำแบบประเมินเสร็จเรียบร้อยครบทุกข้อแล้ว ก็จะทำการประมวลผล แล้วแบ่งระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ออกตามเกณฑ์คะแนนดังนี้
หากคะแนนน้อยกว่า 15 แสดงว่า นักลงทุนรับความเสี่ยงได้ต่ำ
หากคะแนนอยู่ระหว่าง 15 ถึง 21 แสดงว่า นักลงทุนรับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงต่ำ
หากคะแนนอยู่ระหว่าง 22 ถึง 29 แสดงว่า นักลงทุนรับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง
หากคะแนนอยู่ระหว่าง 30 ถึง 36 แสดงว่า นักลงทุนรับความเสี่ยงได้สูง
หากคะแนนตั้งแต่ 37 ขึ้นไป แสดงว่า นักลงทุนรับความเสี่ยงได้สูงมาก
ทั้งนี้ นักลงทุนต้องเป็นผู้ลงมือ “ทำแบบประเมินด้วยตนเองเท่านั้น” จึงจะทราบถึงระดับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ ในขณะที่ “ผู้ติดต่อผู้ลงทุน” ก็สามารถนำผลที่ได้จากการประเมินไปใช้ในการให้คำแนะนำการลงทุนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนแต่ละคนรับได้นั่นเองครับ