สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กระทรวงกลาโหมสหรัฐยืนยันกำลังพล 1,600 นายรวมถึงเจ้าหน้าที่สังกัดกองพันทหารราบ เดินทางเข้าสู่กรุงวอชิงตันและพื้นที่ใกล้เคียง โดยยืนยัน "ไม่ร่วมภารกิจด้านความมั่นคงกับหน่วยงานพลเรือน"
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. ว่ากระทรวงกลาโหมสหรัฐออกแถลงการณ์เมื่อคืนวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น มีเนื้อหาเพียงว่า ได้มีการเคลื่อนย้ายกำลังพลประมาณ 1,600 นายพร้อมยุทโธปกรณ์จำนวนหนึ่ง เข้าสู่กรุงวอชิงตันและพื้นที่รอบนอก โดยยืนยันว่าไม่มีการประจำการเจ้าหน้าที่และสรรพาวุธในเขตใจกลางเมือง
โดยทุกนายได้รับคำสั่งให้อยู่ในสถานะตื่นตัวและพร้อมขั้นสูงสุด แต่ไม่ใช่การเข้าร่วมปฏิบัติการสนับสนุนด้านความมั่นคงให้กับหน่วยงานพลเรือน
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ซึ่งเดินทางเข้ามาแต่ไม่มีการระบุว่ามาจากฐานทัพแห่งใด มีทั้งสารวัตรทหาร เจ้าหน้าที่เทคนิคฝ่ายโยธา และเจ้าหน้าที่สังกัดกองพันทหารราบ แม้ทหารทุกนายได้รับคำสั่งให้อยู่ในสถานะ "ตื่นตัวและพร้อมขั้นสูงสุด" แต่ "ไม่ใช่การเข้าร่วมปฏิบัติการสนับสนุนด้านความมั่นคงให้กับหน่วยงานพลเรือน"
โดยคำสั่งดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางเหตุประท้วงเรียกร้องความเท่าเทียมทางสีผิวทั่วสหรัฐ จากกรณีที่จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวสีที่เสียชีวิตหลังจากตำรวจใช้หัวเข่ากดคอเขาไว้กับพื้นนานเกือบ 9 นาที ซึ่งหลายพื้นที่ทวีความรุนแรงและลุกลามบานปลายกลายเป็นเหตุจลาจล ขโมย ทำลายทรัพย์สิน ทำให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ได้ออกมาขู่ว่าจะประกาศคำสั่งเคอร์ฟิวในระดับรัฐบาลกลาง และจะบังคับใช้กฎหมายปี 1807 เพื่อเคลื่อนกำลังทหารสหรัฐฯ ทั่วประเทศ เข้าไปควบคุมสถานการณ์ โดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประชุมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านความมั่นคง เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าว
หลังจากนั้นนายมาร์ค เอสเปอร์ รมว.กระทรวงกลาโหมสหรัฐ สั่งการไปยังฐานทัพฟอร์ต แบรกก์ ที่รัฐนอร์ทแคโรไลนา และฐานทัพฟอร์ต ดรัม ในรัฐนิวยอร์ก ให้ระดมกำลังพลสารวัตรทหาร และต้องเดินทางถึงที่หมายคือเมืองมินนีแอโพลิสภายใน 4 ชั่วโมง หากได้รับคำสั่ง
นอกจากนี้ ยังมีการสั่งให้ฐานทัพฟอร์ต คาร์สัน ในรัฐโคโลราโด และฐานทัพฟอร์ต ไรลีย์ ในรัฐแคนซัส เตรียมเจ้าหน้าที่พร้อมออกปฏิบัติการภายใน 24 ชั่วโมง โดยการระดมพลครั้งนี้อาจใช้กำลังสารวัตรทหารจากฐานทัพทั้ง 4 แห่งรวมกันประมาณ 800 นาย
