โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

กกต.เล็งฟ้อง เล่นคดีอาญา อนาคตใหม่

ไทยรัฐออนไลน์ - Politics

อัพเดต 14 ก.พ. 2563 เวลา 18.04 น. • เผยแพร่ 14 ก.พ. 2563 เวลา 22.25 น.
ภาพไฮไลต์
ภาพไฮไลต์

ปมเงินกู้ 191 ล.หลังร้องฟันตู่หาจัดมหรสพ

ส.ว.สลอนถกชั่วโมงเดียวผ่านงบฯ 63 ฉลุย “วิษณุ” ถึงกับเป่าปากโล่งอก “ชวน” รับปิดลงคะแนนเร็วไปเลยเกิดปัญหาองค์ประชุม สั่ง กมธ.กิจการสภาฯสอบ ส.ส.เสียบบัตรแทนกันทุกกรณี ตม.เปิดข้อมูล “นาที” บินไปนอก พอดีเป๊ะกับตอนโหวตงบฯ แต่ ป.ป.ช.ยังเงื้อง่าสอบ ส.ส.เสียบบัตร “ธนาธร” เปิดปฏิบัติการ “พินอคคีโอ” กระชากหน้ากาก รบ. บริหารล้มเหลว ซุ่มเก็บข้อมูลมาสี่เดือนเต็มไว้ไปฟาดในศึกอภิปราย อนค.จี้ กกต.ฟัน “บิ๊กตู่” จัดมหรสพ ชวนประชาชนจับตาทำงานเพื่อใคร “อิทธิพร” จ่อฟ้องอาญา อนค.ปมกู้เงิน-“ธนาธร” ถือหุ้นสื่อ “กรณ์” ตั้งแล้ว “พรรคกล้า” “ชวน” กรีด นิ่มๆพวกใจเสาะทิ้งพรรค ป.ป.ช.ฟัน “จารุพงศ์” แบ่งแยกประเทศ แต่ “ลุงจิ้น” รอดคดีเช่าระบบคอมพ์

วุฒิสภาลงมติผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2563 ฉลุย ขณะที่การตรวจสอบ ส.ส.ลงคะแนนแทนกัน ยังคงเดินหน้าต่อไป ล่าสุดสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ส่งข้อมูลการเดินทางไปต่างประเทศของนางนาที รัชกิจประการ ส.ส.บัญชี รายชื่อ พรรคภูมิใจไทย มายังสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแล้ว

“ชวน” รับปิดลงคะแนนเร็วไป

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 14 ก.พ. ที่หอประชุมทีโอที นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีปัญหาองค์ประชุมไม่ครบขณะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ในมาตรา 6 ว่า เกิดจากการปิดลงคะแนนเร็วเกินไปทำให้ จำนวนผู้เข้าร่วมประชุมไม่ครบองค์ประชุม แต่ส่วนตัวจะยึดผลการตรวจสอบการแสดงตน หากครบก็เดินหน้าโหวตได้ แต่มีสมาชิกบางส่วนกังวลต่อคำพิพากษาของศาลฎีกาในอดีตที่กำหนดว่าองค์ประชุมต้องครบทุกครั้งที่มีการลงมติ คำสั่งศาลฎีกาครั้งนั้นถือเป็นจุดเปลี่ยนของการลงคะแนน แต่เมื่อสมาชิกมีความเห็นที่แตกต่างกัน และเพื่อไม่ให้มีปัญหายื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความในภายหลัง อาจทำให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 63 ล่าช้าออกไปอีก จึงตัดสินใจไปเริ่มต้นกระบวนการใหม่ตั้งแต่มาตรา 1

ย้ำเครื่องลงคะแนนไม่ใช่ปัญหา

เมื่อถามว่าสมาชิกมักอ้างเครื่องลงคะแนนขัดข้องทุกครั้งที่มีปัญหา นายชวนตอบว่า ส่วนตัวจะไม่อ้างเรื่องนี้ ไม่มีความรู้พอไปวิจารณ์เครื่องลงคะแนนอัตโนมัติ แต่จะเตือนสมาชิกให้เสียบบัตรให้ถูกต้อง หากเสียบบัตรผิดด้านผลคะแนนจะไม่ขึ้น นอกจากนี้ มีสมาชิกบางคนคิดว่าองค์ประชุมครบแล้ว จึงไม่ลงคะแนน ทำให้เกิดปัญหาองค์ประชุมไม่ครบ แต่ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปเมื่อย้ายไปประชุมที่ห้องสุริยันของ ส.ส. เนื่องจากมีเครื่องลงคะแนนครบตามจำนวน อย่างไรก็ตาม เครื่องลงคะแนนไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ปัญหาที่แท้จริงคือสมาชิกต้องเดินทางมาประชุม เนื่องจากรัฐบาลมีเสียงปริ่มน้ำทุกคนต้องรับผิดชอบเสียงด้วยการอยู่ร่วมประชุม

ตม.เปิดข้อมูล “นาที” บินนอก

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาถึงความคืบหน้ากรณีสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน กรณีนางนาที รัชกิจประการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ที่ถูกร้องเรียนมีชื่ออยู่ในการลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 63 เมื่อวันที่ 11 ม.ค. ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในห้องประชุม โดยสำนักงานสภาผู้แทนราษฎรทำหนังสือถึงสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ขอข้อมูลช่วงเวลาที่นางนาทีเดินทางผ่านด่าน ตม.ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับช่วงเวลาที่นางนาทีมีชื่อโหวตอยู่ในสภาฯ ล่าสุด ตม.ได้ทำหนังสือตอบกลับมาแล้ว โดยระบุว่านางนาทีเดินทางออกจากด่านตม.สนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 15.28 น. วันที่ 11 ม.ค. 2563 แต่นางนาทีมีชื่อลงมติมาตรา 48 ในเวลา 15.19 น. และมีชื่อลงมติครั้งสุดท้ายมาตรา 49 ในเวลา 15.46 น. หลังจากนี้สำนักเลขาธิการสภาฯ จะรายงานการตรวจสอบให้ประธานสภาฯ รับทราบต่อไป ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา นายชวนเซ็นคำสั่งให้คณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร รับผิดชอบตรวจสอบกรณีการเสียบบัตรแทนกันในทุกกรณี

กมธ.รับลูก “ชวน” สอบทุกกรณี

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ในฐานะรองประธานกรรมาธิการกิจการสภาฯ พร้อมสนับสนุนแนวทางของนายชวน เพราะเห็นว่าปัญหาในสภาฯก็ควรให้คนในสภาฯตรวจสอบกันเอง เพราะเราเป็นสถาบันนิติบัญญัติไม่ควรให้ใครมาก้าวก่าย และไม่ควรให้คนนอกเข้ามาแทรกแซงวุ่นวาย กรรมาธิการฯยินดีรับเรื่องนี้ไว้ตรวจสอบ จากการปรึกษากับนายอนันต์ ผลอำนวย ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ ประธานคณะกรรมาธิการฯ ก็ยินยอมรับเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้นายอนันต์อาจเกรงใจเห็นว่าการตรวจสอบกันเองอาจเป็นปัญหา แต่เมื่อปรึกษากันแล้วเห็นว่าเราควรทำตรงไปตรงมา ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ป.ป.ช.เงื้อง่าสอบ ส.ส.เสียบบัตร

นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวว่า อยู่ระหว่างแสวงหาข้อเท็จจริงเบื้องต้นดูว่าคำร้องให้ตรวจสอบ ส.ส.เสียบบัตรแทนกันมีมูลที่จะรับไว้ดำเนินการไต่สวนได้หรือไม่ จะนำเรื่องนี้เสนอคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาในวันที่ 21 ก.พ.นี้ พร้อมกับเสนอแนวทางแก่คณะอนุกรรมการว่า ข้อมูลที่ให้ไปรวบรวมเบื้องต้นเพียงพอจะดำเนินการไต่สวนหรือไม่ อยู่ระหว่างรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน ทราบว่าสำนักงาน ป.ป.ช.ตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นกรณีนี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเรื่องที่ ปรากฏคำร้อง หรือเรื่องที่ไม่ปรากฏคำร้อง และได้ขอข้อมูลไปที่สภาผู้แทนราษฎรเพื่อดำเนินการต่อไป

ส.ว.รีบไฟเขียวผ่านงบฯฉลุย

วันเดียวกันเวลา 14.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 มีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ เป็นตัวแทนรัฐบาลร่วมรับฟังข้อเสนอแนะและตอบข้อซักถาม โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างจืดชืด ใช้เวลาพิจารณาแค่ 1 ชั่วโมง ที่ประชุมมีมติเห็นชอบด้วยคะแนน 215 ต่อ 0 งดออกเสียง 6 ขณะที่นายวิษณุกล่าวขอบคุณ ส.ว.ที่โหวตผ่านให้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม หลัง จากนี้สภาฯต้องเก็บร่างนี้ไว้อีก 3 วัน และนายกฯเก็บร่างนี้ไว้อีก 5 วัน ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯถวาย ยืนยันว่าจะนำข้อสังเกตไปประมวลร่วมกับข้อสังเกตของสภาผู้แทนฯ เพื่อกลั่นกรองสำหรับการเตรียมการปฏิบัติในการนำเสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2564 ในอีก 3 เดือนข้างหน้า

“วิษณุ” ถึงกับเป่าปากโล่งอก

นายวิษณุให้สัมภาษณ์ว่า หลังสภาฯผ่านร่าง พ.ร.บ.งบฯ 63 ตอนนี้ใจชื้นขึ้น เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นความโล่งอกและยินดีของทุกฝ่าย ไม่ใช่แต่เพียงรัฐบาล คาดว่าโปรดเกล้าฯแล้วจะประกาศในราชกิจ– จานุเบกษา ช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.นี้ ส่วนการเตรียมความพร้อมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ วันที่ 18 ก.พ. วิปรัฐบาลจะแจ้งต่อ ครม. เมื่อถามว่าต้องติวเข้มรัฐมนตรีหรือไม่ นายวิษณุตอบว่า ไม่มี ไม่ได้ติว มีแค่การซักซ้อมกติกาและขั้นตอนต่างๆ ว่าตกลงอะไรกับฝ่ายค้านไว้บ้าง รัฐบาลจะได้ปฏิบัติถูก เพราะรัฐมนตรีทั้ง 6 คนไม่เคยโดนอภิปราย ขณะที่ผู้อภิปรายบางคนก็อาจไม่เคยอภิปราย ไม่มีติวเรื่องเนื้อหาใครที่ถูกอภิปรายต้องเตรียมข้อมูลเอง คนอื่นทำแทนไม่ได้ เว้นแต่มีการพาดพิงแล้วขอให้ช่วยชี้แจง และตนยังไม่แน่ใจว่าจะเข้าร่วมสัมมนาที่พัทยา จ.ชลบุรี หรือไม่

เปิดปฏิบัติการ “พินอคคีโอ”

ที่พรรคอนาคตใหม่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แถลงถึงการจัดภารกิจ “พินอคคีโอ” ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจวันที่ 24-26 ก.พ. ว่า พรรคอนาคตใหม่ให้ความสำคัญมาก เพราะกลไกการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร เป็นกลไกที่มีน้ำหนักที่สุดของฝ่ายค้าน หรือของฝ่ายนิติบัญญัติที่จะตรวจสอบฝ่ายบริหาร เมื่อพวกเราเลือกใช้กลไกนี้แล้วเราต้องทำให้ดีที่สุด ให้สมศักดิ์ศรีของกลไกนี้ เราเริ่มเตรียมการมาตั้งแต่เดือน ต.ค.2562 จนเดือน พ.ย. เราเริ่มใช้รหัสเพื่อเรียกโครงการนี้ภายในพรรค คือโปรเจกต์พินอคคีโอ โดยมี ตนเป็นหัวหน้าทีม เหตุผลคือตัวละครพินอคคีโอทำผิดซ้ำซาก และพยายามปกปิดความผิดตัวเองไปเรื่อยๆจนเรื่องบานปลาย ท้ายที่สุดก็ปกปิดไม่ได้ เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลชุดนี้

กระชากหน้ากาก รบ.ล้มเหลว

นายธนาธรกล่าวอีกว่า หลังการทำรัฐประหาร 2557 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ไม่เคยถูกตรวจสอบ และปกปิดความผิดตัวเองจากสาธารณะ ภายใต้ข้ออ้างของความสงบและการคอร์รัปชัน ความจริงแล้วเป็นการลิดรอนสิทธิมนุษยชน และการปิดบังประชาชนที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อไม่มีประชาธิปไตย ไม่มีฝ่ายค้านก็ไม่มีการตรวจสอบ ครั้งสุดท้ายที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจคือเดือน พ.ย.2556 หรือ 6 ปี 2 เดือน มาแล้ว วัตถุประสงค์ของโปรเจกต์พินอคคีโอ จึงเป็นปฏิบัติการกระชากหน้ากากของรัฐบาลพินอคคีโอ ให้ประชาชนรับรู้ถึงจมูกอันยืดยาวและข้อผิดพลาด ของรัฐบาลในรอบ 6 ปี

ซุ่มเก็บข้อมูลมาสี่เดือนเต็ม

นายธนาธรกล่าวต่อว่า พรรคมี ส.ส.ที่จะอภิปราย 16 คน ทำงานร่วมกับทีมกฎหมายและทีมนโยบายของพรรคอีกกว่า 50 คน เป็นเวลา 4 เดือนเต็ม ฉะนั้น การอภิปรายครั้งนี้จึงไม่ใช่ผลงานของใครคนใดคนหนึ่ง เราได้โควตาจากพรรคร่วมฝ่ายค้าน 11 ชั่วโมง เฉลี่ยคนละ 40 นาที 1 คน ของพรรคอนาคตใหม่จะอภิปรายในภาพรวม และอีก 15 คน ประเด็นไม่มีซ้ำกัน และพรรคเลือกอภิปรายไม่ไว้วางใจ 5 รัฐมนตรี จาก 6 รัฐมนตรี ที่มีชื่ออยู่ในญัตติ คือ 1.พล.อ.ประยุทธ์ 2.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ 3.นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ 4.พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และ 5.ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ เราตกลงกันว่าจะอภิปรายอ้างอิงจากเอกสารชั้นต้น หลักฐานแวดล้อม ข้อกฎหมาย หลักนิติรัฐนิติธรรม และความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง อภิปรายอย่างสร้างสรรค์ ตรงประเด็นและกระชับ ไม่เน้นการใช้โวหารนอกประเด็น หรือกล่าวหาอย่างเลื่อนลอย ต้องการชี้ให้พี่น้องประชาชนเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์กำลังพาประเทศไทยไปผิดทาง และคนที่ต้องจ่ายราคานี้คือพี่น้องประชาชน เราเชื่อว่าจะทำให้ประชาชน และสภาเห็นถึงความล้มเหลว และเหตุผลที่ควรลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายได้

อนค.จี้ กกต.ฟัน “บิ๊กตู่” จัดมหรสพ

ที่สำนักงานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) น.ส.กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ พร้อมนายไกลก้อง ไวทยการ นายทะเบียนสมาชิกพรรค นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ รองโฆษกพรรค เข้ายื่นคำร้องขอให้ กกต.ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ในฐานะผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ และพวก น.ส.กุลธิดากล่าวว่า กรณีนี้สืบเนื่องจากการเปิดเวทีปราศรัยใหญ่หาเสียงที่สนามกีฬาเทพหัสดินของพรรคพลังประชารัฐ โดย พล.อ.ประยุทธ์ร้องเพลงบนเวที 2 เพลง เป็นเพลงจับมือกันไว้ของ “เบิร์ด” ธงไชย แมคอินไตย์ และเพลงหยุดตรงนี้ที่เธอ ของ “ฟอร์ด” สบชัย ไกรยูรเสน เข้าข่ายการจัดมหรสพเพราะเพลงที่ร้องไม่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ไม่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการหาเสียง จึงเข้าข่ายจัดมหรสพรื่นเริง จึงมายื่นคำร้องต่อ กกต.ให้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ชวนประชาชนจับตาการทำงาน

ด้านนายไกลก้องกล่าวว่า เหตุที่รอจนเกือบจะครบ 1 ปี เพราะรอดูการทำงานขององค์กรอิสระมาเป็นเวลานานในคดีที่มีหลักฐานชัดเจนขนาดนี้ กกต.กลับไม่ดำเนินการใดๆ ทั้งที่กฎหมายกำหนดไว้ว่าเป็นความผิด และ กกต.มีมติเมื่อปี 2550 ว่าเพลงที่ใช้ในการเลือกตั้ง และระหว่างการเลือกตั้ง ต้องเป็นเพลงที่ใช้เพื่อการเลือกตั้ง หรือดัดแปลงเพื่อใช้ในการเลือกตั้งเท่านั้น หากเป็นเพลงเพื่อความบันเทิง จะถือว่าเป็นการจัดงานรื่นเริง หรือจัดมหรสพ ส่วนจะมีบทลงโทษอย่างไรก็ขึ้นกับดุลพินิจของ กกต. ทั้งนี้ อยากให้ประชาชนจับตาการทำงานขององค์กรอิสระว่าทำเพื่อประโยชน์ใคร เป็นกลางหรือไม่

สงสัยใช้ตุลาการศาล รธน.ชุดเดิม

นายธนาธรยังกล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ ในคดีเงินกู้พรรค วันที่ 21 ก.พ. ว่า เราไม่ถอย ไม่ทน ถ้ากลัวผู้มีอำนาจ เราก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ นั่นคือเหตุผลที่เขาใช้คดีความ หรือคำร้องเรียนต่างๆ มาทำลายผู้ที่ลุกขึ้นสู้กับความอยุติธรรม ถ้าเรากลัวพวกเขาก็จะประสบความสำเร็จ นัดอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 21 ก.พ. ขณะที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 ก.พ. เมื่อไม่นานมานี้วุฒิสภาได้ผ่านรายชื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่แล้ว แต่มีคำถามเหตุใดจึงไม่ยอมนำขึ้นทูลเกล้าฯ หรือต้องการให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบันตัดสินคดีเสียก่อน พวกเราหนักแน่นมั่นคง ไม่ว่าจะยุบหรือไม่ยุบ เราอภิปรายต่อแน่นอน

“อิทธิพร” จ่อฟ้องอาญาปมกู้เงิน

ที่หอประชุมทีโอที นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. กล่าวถึงการเดินหน้าฟ้องร้องคดีอาญาต่อพรรคอนาคตใหม่กรณีกู้เงินนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จำนวน 191 ล้านบาท และการดำเนินคดีอาญาต่อนายธนาธร กรณีถือหุ้นสื่อว่า คณะกรรมการไต่สวนส่งเรื่องมาให้ กกต.พิจารณาแล้ว แต่ได้ส่งเรื่องกลับไปให้พิจารณาประเด็นอื่นเพิ่มเติม ขณะนี้อยู่ระหว่างรอคณะกรรมการไต่สวนส่งกลับมาอีกครั้ง เมื่อถามว่าจะดำเนินคดียุบพรรคการเมืองอื่นที่เข้าข่ายกู้เงินอีก 7 พรรคด้วยหรือไม่นั้น นายอิทธิพรตอบว่า ขอรอดูคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 21 ก.พ.นี้ก่อน ยังไม่สามารถด่วนสรุปได้ในตอนนี้

เมินถูกฟ้องกลับทำตามหน้าที่

เมื่อถามว่ากรณีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ขอสำนวนการไต่สวนคดียุบพรรคอนาคตใหม่ประเด็นเงินกู้ 191 ล้านบาท หลังพรรคอนาคตใหม่ยื่นฟ้องกลับนั้น นายอิทธิพรตอบว่า เป็นเรื่องที่ศาลขอให้ กกต.ไปชี้แจง ไม่ใช่ขั้นตอนการไต่สวน และเจ้าหน้าที่ กกต.จะไปชี้แจงในวันที่ 20 ก.พ.นี้ ยืนยันไม่กังวลกรณีที่ถูกฟ้องกลับ เป็นเรื่องที่ฟ้องร้องได้หากไม่เห็นด้วยกับการทำหน้าที่ของ กกต. แต่ยืนยันทุกอย่างดำเนินการตามหน้าที่ ทั้งนี้ ความแตกต่างระหว่างเงินกู้กับเงินทดรองจ่าย ส่วนตัวมองว่าทั้ง 2 ส่วนนี้แตกต่างกันชัดเจนอยู่แล้ว โดยเงินทดรองจ่าย ไม่ควรมีดอกเบี้ย หรือระยะเวลาในการจ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง

“กรณ์–อรรถวิชช์” ตั้ง “พรรคกล้า”

ที่สำนักงาน กกต. นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี พร้อมนายวรวุฒิ อุ่นใจ นายกสมาคมผู้ค้าปลีกไทย นายมนต์ชีพ ศิวะสินางกูร นักแต่งเพลง เป็นตัวแทนเข้าพบนายทะเบียนพรรคการเมืองเพื่อยื่นจดทะเบียนจัดตั้ง “พรรคกล้า” ที่โหวตเลือกชื่อมาจากประชาชน 120,000 คน สัญลักษณ์พรรคเป็นลายเส้นรูปกำปั้น สื่อถึงการลงมือทำ นายอรรถวิชช์กล่าวว่า ชื่อพรรคกล้าตั้งใจอยากเห็นคนที่มีความสร้างสรรค์เป็นผู้กล้า เปิดพื้นที่ให้คนที่เป็นผู้กล้าเข้ามาสู่การเมืองให้ได้ เป็นการรวมกันของคน 3 รุ่น ใหญ่ กลาง ใหม่ ขับเคลื่อนประเทศ จากนี้ตนและนายกรณ์ จาติกวณิช แกนนำพรรค จะรวบรวมรายชื่อผู้ก่อตั้งเดินสายเชิญบุคคลต่างๆในสังคมมาร่วมให้ครบ 500 คน

ปัดรอต้อน ส.ส.อนค.เข้าคอก

นายอรรถวิชช์กล่าวว่า ที่มาตั้งพรรคในขณะนี้ไม่ใช่มารองรับการย้ายพรรคของ ส.ส.ที่อาจจะเกิดจากการยุบพรรคอนาคตใหม่เพราะเป้าหมายคือการเลือกตั้งครั้งหน้า เรามีเวลาประมาณปีเศษรวบรวมคน และทำความเข้าใจกับสังคมเรื่องปฏิบัตินิยมซึ่งเป็นเรื่องยาก ยังไม่อยากให้สังคมแยกเราว่าจะอยู่ซ้ายหรืออยู่ขวา ขอเป็นพรรคในแนวปฏิบัตินิยมที่ไม่แบ่งซ้ายไม่แบ่งขวาและไม่กลางด้วย การทำพรรคขึ้นมาไม่ได้เพื่อรวบรวม ส.ส.ไปแลกโควตาอะไรทั้งสิ้น ที่ทำพรรคคิดว่าคนต้องการความหวัง อยากเห็นพรรคที่ลงมือทำ

“ชวน” กรีดพวกใจเสาะทิ้งพรรค

ที่หอประชุมทีโอที นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “การยกระดับพรรคการเมืองให้เป็นสถาบันการเมือง” ว่า พรรคการเมืองจะดำรงอยู่ได้ต้องประกอบด้วย คนดีมีความสามารถ มีความมุ่งมั่นทำงานการเมือง ไม่คิดแสวงหาประโยชน์ พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ได้รับการยอมรับว่ามีความเป็นสถาบันมาก จากผู้ก่อตั้งและสมาชิกเป็นบุคคลสำคัญเป็นคนดี วิกฤติพรรคประชาธิปัตย์เคยเกิดขึ้นแล้วหลายครั้ง เคยถูกฟ้องให้ถูกยุบพรรคมา 2 ครั้ง แต่สามารถสู้คดีเพราะเชื่อมั่นในความจริงและความยุติธรรมของศาล ดังนั้นการจะดำรงอยู่ได้ต้องเป็นบุคคลที่ตั้งใจที่จะดำรงพรรคการเมือง ไม่ใช่เข้ามาทำการเมืองเพราะไม่มีงานทำ เมื่อพรรคประสบปัญหาจะไม่หวั่นไหวไม่น้อยใจ ไม่คิดทิ้งพรรค การเมืองมีขึ้นมีลงเป็นรัฐบาลเป็นฝ่ายค้านได้ แต่ถ้าผู้บริหารใจเสาะเห็นว่าพรรคไปไม่รอดแล้วก็ตีตัวออกห่าง เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตที่พรรคพ่ายแพ้และแตกยับเยินไม่เหลืออะไร จนทำให้กรรมการบริหารและสมาชิกทยอยออกไปจากพรรคไปตั้งพรรคใหม่

พรรคล่มกลับไปเป็นทนายดีกว่า

“ขณะที่ผมเองมีคนมาชักชวนแต่ก็ปฏิเสธ ไม่คิดจะออกไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ เพราะหากพรรคล่ม ผมจะกลับไปเป็นทนายความ ซึ่งสมัยนั้นพื้นที่ กทม.เหลือ ส.ส.เพียงคนเดียว เช่นเดียวกับปัจจุบันพื้นที่ กทม.ไม่เหลือ ส.ส.แม้แต่รายเดียว ขอย้ำว่าไม่ยอมรับทหารที่ปฏิวัติ และระบบคอมมิวนิสต์ที่ทำลายประชาธิปไตย แต่ในการป้องกันไม่ให้ทหารเข้ามาปฏิวัติ นักการเมืองต้องไม่เป็นผู้สร้างเงื่อนไข ต้องยึดมั่นหลักการ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล” นายชวนกล่าว

ฟัน “จารุพงศ์” แบ่งแยกประเทศ

ที่สำนักงาน ป.ป.ช. นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช. แถลงว่า ที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีต รมว. มหาดไทย กรณีปราศรัยในงาน “นปช.ลั่นกลองรบ” ที่สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2557 ในลักษณะยุยงปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบในประเทศ ขณะนั้นนายจารุพงศ์ดำรงตำแหน่งรักษาการ รมว.มหาดไทย และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ปราศรัยด้วยถ้อยคำลักษณะเห็นด้วยและพร้อมสนับสนุน ส่งเสริมให้ผู้ร่วมชุมนุมกระทำการตามแนวทางที่แกนนำ นปช.ปราศรัย จึงอาจก่อให้เกิดความไม่สงบ เกิดความแตกแยก มีลักษณะแบ่งแยกประเทศ และต่อมามีกลุ่มบุคคลนำป้ายผ้าไวนิล ขอแบ่งแยกประเทศเป็นประเทศล้านนาไปติดในสถานที่ต่างๆ การกระทำของนายจารุพงศ์มีมูลความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ส่วนผู้ถูกกล่าวหารายอื่น เช่น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ มิได้มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ป.ป.ช.จึงมีมติให้แจ้งข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการกระทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป

“ลุงจิ้น” รอดคดีเช่าระบบคอมพ์

นายวรวิทย์กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีกล่าวหานายชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีต รมว.มหาดไทย และนายมานิต วัฒนเสน อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ทุจริตโครงการจัดทำระบบให้บริการประชาชนด้านทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชนอิเล็กทรอนิกส์ ของกรมการปกครอง วงเงิน 3,490 ล้านบาท ในยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติไม่มีชี้มูลความผิด เพราะพบว่า นายชวรัตน์และนายมานิตได้ดำเนินการทดสอบระบบ เครื่องคอมพิวเตอร์ในขั้นตอนตามที่ทีโออาร์กำหนด ก่อนลงนามอนุมัติ แต่ในส่วนของนายธีรวัฒน์ วุฒิคุณ อดีต ผอ.กองคลัง กรมการปกครอง และนายกองเอกวิลาศ รุจิวัฒนพงศ์ อดีตรองอธิบดีกรมการปกครอง ที่ได้ลงนามในบันทึกขออนุมัติเช่าระบบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ประกอบ โดยไม่ดำเนินการทดสอบทางเทคนิคตามเงื่อนไขที่ทีโออาร์กำหนด ถือเป็นการกระทำผิดวินัยร้ายแรง ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน

“พิชัย” ห่วงสัญญาณ ศก.ทรุดแรง

อีกเรื่อง นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเตือนเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ 2 โดยไตรมาสแรกขยายตัวไม่ถึงร้อยละ 1 ซึ่งทรุดหนักมาก เป็นไปตามที่ตนได้เตือนก่อนหน้านี้ น่าห่วงว่าโอกาสที่จะถดถอยหรือติดลบเป็นไปได้มาก สาเหตุที่เศรษฐกิจทรุดตัวอย่างรวดเร็วเกิดจากการ บริหารที่ผิดพลาดมาตลอด 5 ปีของรัฐบาล ที่ผ่านมา อาศัยเพียงการท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเพียงตัวเดียว ขณะที่เครื่องยนต์อื่นทั้งการส่งออก การลงทุน การบริโภคของประชาชน แทบไม่ขยายตัว แถมยังติดลบ รัฐบาลบริหารงานเหมือนไม่รู้ว่าต้องพัฒนาประเทศอย่างไร การใช้จ่ายภาครัฐเป็นไปอย่าง สะเปะสะปะ เมื่อประสบปัญหาไวรัสโคโรนาทำให้การท่องเที่ยวหยุดชะงัก เศรษฐกิจยิ่งยํ่าแย่หนักเพราะ ไม่เหลือเครื่องยนต์ขับเคลื่อนอีก แล้วประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร ถ้าผู้นำและรัฐบาลไม่เหลือความน่าเชื่อถือ ความมั่นใจอีกต่อไป

ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0