ตอนเด็กๆ ในชั่วโมงศิลปะ
เมื่อไหร่ก็ตามที่นักเรียนกำลังวาดรูป ‘คน’ แล้วมีการต้องลงสี
สีที่เราเรียกว่า ‘สีเนื้อ’ นั้นจะเป็นสีเหลืองอมชมพูตุ่นๆ ออกไปในแนวขาว
ทำไมมาตรฐาน ‘สีเนื้อ’ ที่คนทั่วประเทศใช้มันถึงอ่อนจัง?
แล้วถ้าเราอยากระบายสีผิว ‘คน’ ที่เข้มขึ้นล่ะ?
เราก็ต้องเอาสีน้ำตาลหรือน้ำตาลอ่อนมาลงให้กลายเป็นสีเนื้อแทน
แต่สีพวกนั้น ไม่มีใครที่ไหนเรียกว่า ‘สีเนื้อ’
และแน่นอน
คงไม่มีเด็กคนไหนสนใจจะเลือกหยิบสีโทนนั้นมาใช้
เป็น ‘สีเนื้อ’
.
.
.
คำว่า ‘Colorism’ หรือ คัลเล่อริซึ่ม ถูกกำหนดขึ้นมาโดย อลิซ วอล์คเกอร์ นักเขียนสาวผิวดำชื่อดังในอเมริกา เธอบอกว่าคำนี้หมายถึง
‘การที่คนใน ‘เชื้อชาติเดียวกัน’ ปฎิบัติตัวอย่างลำเอียงและมีความคิดชื่นชม/นิยมอีกฝ่ายหนึ่งมากกว่าเพียงเพราะ สีผิวของพวกเขา’
พูดง่ายๆ ก็คือ Racism (เรซซิซึ่ม) เป็นเรื่องของ เชื้อชาติ
แต่คำว่า Colorism (คัลเล่อริซึ่ม) นั้นหมายถึง สีผิว โดยตรงเลย
‘ใครก็ตามที่มีสีผิวอ่อนกว่า มักได้รับสิทธิพิเศษมากกว่าคนที่มีสีผิวเข้มกว่าเสมอ’
.
.
.
ในกลุ่มคนผิวดำเองนั้น ถึงจะเชื้อชาติเดียวกัน ก็ยังมีการแอบเหยียดกันด้วย
‘คนไหนมีสีผิวที่เข้มกว่า’
นางเอกสาวผิวดำที่ได้รับรางวัลออสการ์อย่าง ลูพิต้า นิยองโก้ เคยกล่าวเอาไว้ว่า
‘คัลเล่อริซึ่ม นั้นเปรียบเสมือนน้องสาวของ เรซซิซึ่ม’
เธอคือเหยื่อของ คัลเล่อริซึ่มนี้ตั้งแต่ยังเด็ก เธอเติบโตที่ประเทศเคนย่า ก่อนย้ายมาสหรัฐอเมริกา
‘ฉันเป็นเด็กที่รู้สึกอึดอัดกับสีผิวของตัวเองมาก ฉันเชื่อว่าโลกรอบตัวของฉันมักให้รางวัลกับคนที่มีสีผิวอ่อนกว่า'
น้องสาวของเธอที่มีสีผิวที่อ่อนกว่า ผู้คนมักชมน้องสาวเธอว่า สวย เสมอ
เธอบอกว่า บางครั้งเธอก็รู้สึก ทำไมตัวเองไม่มีค่าเอาซะเลย
.
.
.
นักสังคมวิทยาชื่อมาร์กาเร็ต ฮันเตอร์ เคยเล่าถึงสถิตินี้ว่า คนเชื้อชาติเม็กซิกันในอเมริกาที่มีผิวที่ขาวกว่า มักได้เงินเดือนเยอะกว่า เรียนระดับสูงกว่า อยู่อาศัยในสังคมที่รุ่งเรืองกว่า และมีสุขภาพจิตที่ดีว่าคนเม็กซิกันด้วยกันที่มีสีผิวที่เข้มกว่า
นักวิจัยอีกทีมจากมหาวิทยาลัยจอร์เจีย ก็เล่าถึงสถิติในปี 2006 ว่าผู้จ้างงานต่างๆ มักเลือกผู้ชายผิวดำที่มีสีผิวที่ อ่อนกว่า ผู้ชายผิวดำที่สีผิวเข้ม โดยไม่ได้เน้นที่ความโดดเด่นในคุณสมบัติการทำงานอะไรเลย
.
.
.
กลับมาที่ประเทศไทย
นอกจากตัวอย่างของ ‘สีเนื้อ’ ที่พูดไปเมื่อข้างต้น
เราว่าการเหยียดเชื้อชาติน่ะ ไม่ใช่ปัญหาหลักของประเทศไทยหรอก
ถ้าเห็นกันอยู่ทั่วไป มักเป็นการเหยียดสีผิวมากกว่า
ที่มักเกิดจากสิ่งแวดล้อมและบุคคลรอบตัวของเราตั้งแต่เด็ก
- ทำไมตอนเด็ก เวลาจะออกไปวิ่งเล่นข้างนอก หลายครั้งถึงโดนห้ามแล้วผู้ใหญ่ก็พูดว่า ‘เดี๋ยวดำ!’ วางบทบาทของสีผิวว่าเป็นผู้ร้าย แทนที่จะกลัวว่าเด็กจะเป็นมะเร็งผิวหนัง
- ทำไมโฆษณาความสวยงามหลายตัวต้องเปรียบสีผิวที่เข้มขึ้นเป็น ‘ความเศร้า’
- ทำไมคนเราถึงใช้สีผิว เป็นเกณฑ์ในการทั้งด่าและชม ‘ขาวขึ้น ผ่องจังช่วงนี้’ ‘ว้าย ดำขึ้นนะ ไปทำอะไรมา’
- ทำไมรายการต่างๆ ถึงล้อเลียนคนที่ผิวเข้มเป็น ‘ตัวตลก’
- ทำไมการตำหนิกันด้วยสีผิวถึงเกิดขึ้นได้ ทั้งจากผู้ใหญ่ที่เคารพรัก ญาติห่างๆ ครอบครัว เลยไปถึงเพื่อนสนิท
- และทำไม ทุกครั้งคนที่โดนล้อเลียน คนที่ถูกล้อต้องแสร้งทำเป็นขำตามไปกับคำกล่าวหาที่กระทบจิตใจนั้น?
.
.
.
ปัญหาการเหยียดมันฝังรากลึกกว่าที่หลายคนมองเห็น
และหลายครั้งมันไม่ได้เกิดขึ้นจากศัตรูของเรา แต่อาจเกิดขึ้นได้กับคนใกล้ชิด
การห้ามจิตและความคิดของตัวเองนั้น เป็นเรื่องยากเหลือเกิน
เพราะหลายความเชื่อมันผูกติดอยู่ในจิตสำนึกของเราอย่างแน่นหนา
สิ่งที่เราทำได้คือ ‘พยายามรู้ทันใจตัวเอง’
ศึกษาและตัดสินคนให้ลึกซึ้งกว่าสิ่งที่เห็นด้วยสายตา
และที่สำคัญ
เมื่อไหร่ก็ตามที่มีใครบอกว่า เราทำให้เขาเสียใจ
ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่เราแกล้งเล่นด้วยความสนุกสนาน
เราควร รับฟัง, ขอโทษ, ปรับปรุงตัว
ไม่ใช่บ่ายเบี่ยงและโบ้ยให้คนที่กำลังเจ็บ ‘ต้องทำใจ’
ในพฤติกรรมทำร้ายจิตใจ
ที่เรานั้นเป็นคนทำ
.
.
.
.
.
อ้างอิง
https://time.com/4512430/colorism-in-america/
https://www.bbc.com/news/entertainment-arts-49976837
อ่านบทความใหม่จากเพจ Beautiful Madness by Mafuang ได้บน LINE TODAY ทุกวันอังคาร