อีโมจิ (Emoji) จุดประสงค์ของมันถูกนำมาใช้เพื่อสื่ออารมณ์และความรู้สึกบนในสื่อที่เป็นลายลักษณ์อักษร ใครที่เคยใช้โทรศัพท์ยุค Nokia N70 คงคุ้นเคยกับการซื้ออีโมจิเพื่อส่งหาคนรัก ซึ่งในตอนนั้นมีราคาค่อนข้างสูง ตั้งแต่ราคา 30-70 บาทต่ออีโมจิหนึ่งตัว แต่พอเปลี่ยนผ่านจากโทรศัพท์สู่สมาร์ทโฟน อีโมจิถูกพัฒนาไปไกลถึงขั้นสามารถแสดงสีหน้าตามคนที่ใช้ และไอคอนบางส่วนถูกเปิดให้ใช้งานฟรี จนกลายเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย ถือเป็นยุครุ่งเรืองของอีโมจิเลยก็ว่าได้
World Emoji Day
อีโมจิ มาจากคำภาษาญี่ปุ่น e (for picture) และ moji (for character) ถูกสร้างครั้งแรกช่วงปลายปี 1990 โดย Shigetaka Kurita ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ทำงานบนแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตบนมือถือในประเทศญี่ปุ่น เขาเห็นว่าการพยากรณ์อากาศในทีวีใช้ภาพเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แสดงสภาพอากาศ ดังนั้นเขาจึงริเริ่มการสร้างอีโมจิแทนความรู้สึกบนการสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยอีโมจิชุดแรก มีขนาด 175 12-pixel เป็นคุณลักษณะการรับส่งข้อความ
ไอคอนแสดงอารมณ์สุดน่ารักเป็นที่นิยมมากขึ้น ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 กระทั่งสมาร์ทโฟนแอปเปิล (Apple) ออกอัปอัปเดทระบบปฏิบัติการ iOS 6 สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือ “แป้นพิมพ์อีโมจิ” ทั้งนี้ในปี 2013 Oxford Dictionary ได้บัญญัติศัพท์ “Emoji” ลงพจนานุกรม
ต่อมาในปี 2014 Jeremy Burge ของ Emojipedia ได้ก่อตั้ง World Emoji Day โดยเลือกวันที่ 17 กรกฎาคมเป็นวันที่จะเฉลิมฉลอง และทำการบันทึก “ปฏิทินอีโมจิ” สำหรับปฏิทินของ Apple ส่วนอีโมจิที่ได้รับความนิยมสูงสุดประจำปี 2017 มี 3 อันดับ
วิธีการเฉลิมฉลองวันอีโมจิ
ง่าย ๆ เลย เพียงคุณแสดงสีหน้าหรือท่าทางตามอีโมจิไอคอน บอกเล่าเรื่องราวผ่านภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวร่วมกับเพื่อนหรือทำคนเดียว แล้วแชร์ลง Facebook หรือ Twitter เท่านี้คุณก็เป็นส่วนหนึ่งในการเฉลิมฉลองความสนุกครั้งนี้ได้
Apple celebrates World Emoji Day
ช่วงปลายปีนี้ iPhone, iPad, Apple Watch และ Mac จะมีการอัปเดทอีโมจิตัวใหม่มากกว่า 70 ตัว เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง World Emoji Day
ที่มารูปภาพ : worldemojiday.com, www.apple.com
อ่านบทความทั้งหมด ที่ MarketingOops.com
ความเห็น 0