โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

14 อาการเตือนคนเริ่มท้อง มีอะไรบ้างมาดูกัน

Motherhood.co.th

เผยแพร่ 02 ก.ค. 2563 เวลา 10.10 น. • Motherhood.co.th Blog
14 อาการเตือนคนเริ่มท้อง มีอะไรบ้างมาดูกัน

14 อาการเตือนคนเริ่มท้อง มีอะไรบ้างมาดูกัน

กำลังสงสัยว่าท้องอยู่ใช่ไหมคะ ตรวจสอบ "อาการเตือนคนเริ่มท้อง" ที่สามารถปรากฏขึ้นหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่คุณจะพบว่ารอบเดือนของคุณขาดไป หากคุณเคยมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว อาจถึงเวลาต้องไปที่ร้านขายยาเพื่อหาซื้อที่ทดสอบการตั้งครรภ์แล้วละค่ะ

1. คัดเต้านม

ความเจ็บตึงที่เต้านมจะมีขึ้นภายใน 1 หรือ 2 สัปดาห์หลังการปฏิสนธิ คุณกำลังสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนให้มากขึ้นในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ต่อมน้ำนมที่อยู่ภายในเต้านมจึงเริ่มโต การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้หน้าอกเก็บของเหลวมากขึ้น และรู้สึกหนักหน้าอก เจ็บ หรือไวต่อความรู้สึกมากกว่าในช่วง PMS ตามปกติ

อาการจะเริ่มขึ้น 1-2 สัปดาห์หลังเกิดการปฏิสนธิ
อาการจะเริ่มขึ้น 1-2 สัปดาห์หลังเกิดการปฏิสนธิ

2. ปวดท้องและปวดหลัง

ผู้หญิงหลายคนเข้าใจผิดว่าสัญญาณเริ่มแรกของการตั้งครรภ์คืออาการ PMS แต่จริง ๆ แล้วเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและการเติบโตของมดลูก ประมาณ 30% ของผู้หญิงมีประสบการณ์ปวดท้องหลังจากการปฏิสนธิ ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่ไข่ที่ปฏิสนธิแล้วเคลื่อนตัวไปฝังลงกับผนังมดลูก มดลูกของคุณอาจจะยืดตัวเล็กน้อยในขณะนี้ (คุณถึงได้ปวดท้อง) ทั้งนี้ก็เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการขยายตัวครั้งใหญ่ในอีก 9 เดือนข้างหน้า

3. เลือดล้างหน้าเด็ก

เมื่อไข่ที่ปฏิสนธิเข้าสู่เยื่อบุของมดลูกประมาณ 6-12 วันหลังจากการปฏิสนธิ จึงอาจเกิดร่องรอยสีชมพูออกมาจากช่องคลอดเล็กน้อย คุณอาจเข้าใจผิดว่าเลือดล้างหน้าเด็กคือประจำเดือนของคุณ แต่โดยทั่วไปแล้วจะเบากว่าการมีประจำเดือนและมักมีสีน้ำตาลหรือสีชมพู แทนที่จะเป็นสีแดง

4. ความเมื่อยล้า

ในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกร่างกายของคุณจะทำงานตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันเพื่อสนับสนุนการตั้งครรภ์ ดั้งนั้นความเหนื่อยล้าจึงเป็นเรื่องที่ปกติ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เกิดขึ้นหลังปฏิสนธินั้นทำให้อุณหภูมิร่างกาย ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้ร่างกายขาดพลังงาน หัวใจของคุณจะสูบฉีดเร็วขึ้นเนื่องจากมันจะต้องส่งออกซิเจนเพิ่มไปยังมดลูก ด้วยเหตุนี้เองคุณจะรู้สึกเหนื่อยง่าย

สิ่งที่ควรทำก็คือ รับประทานวิตามินสำหรับการตั้งครรภ์ไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ รวมทั้งอาหารที่มีประโยชน์และน้ำสะอาดเพื่อให้ความดันโลหิตของคุณสูงพอ และพักผ่อนให้มากเข้าไว้ถ้าคุณทำได้

5. หัวนมเปลี่ยนไป

หัวนมของคุณดูมีสีเข้มขึ้นหรือเปล่า ฮอร์โมนการตั้งครรภ์ยังส่งผลต่อการทำงานของมาลาโนไซต์ (Melanocytes) หรือเซลล์ที่อยู่ในหัวนมที่รับผิดชอบต่อสีของมัน ผู้หญิงผิวคล้ำอาจไม่สังเกตเห็นสิ่งนี้ในเวลาที่เริ่มตั้งครรภ์ ต้องประมาณ 10 สัปดาห์หรือมากกว่านั้น

6. คลื่นไส้

ในขณะที่อาการแพ้ท้องอย่างเต็มรูปแบบนั้นจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงท้องประมาณ 85% ซึ่งมันอาจจะยังไม่มีแสดงอาการทันทีใน 2-3 สัปดาห์แรก แต่ผู้หญิงบางคนอาจจะมีอาการเมารถได้เลยในระยะแรก บางคนจะรู้สึกไม่สบายขณะอ่านหนังสือในรถหรือรู้สึกป่วยระหว่างเที่ยวบิน

สาเหตุเพราะฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไป
สาเหตุเพราะฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไป

ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนทำให้หลาย ๆ อย่างช้าลง ซึ่งรวมถึงกระบวนการย่อยอาหารของคุณ บางครั้งทำให้เกิดอาการท้องผูกหรืออาหารไม่ย่อย เนื่องจากท้องของคุณไม่ได้ว่างเปล่าอย่างรวดเร็วเหมือนปกติ มันคิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นในนั้นมากเกินไปและอยากจะล้างบางอย่างออกมา ไม่ว่าจะเป็นทางเดินอาหารหรือทางปาก อาการคลื่นไส้ยังเกี่ยวข้องกับ hCG ฮอร์โมนที่สามารถตรวจพบได้ในเลือดหรือปัสสาวะของแม่แม้กระทั่งก่อนที่จะพบว่าประจำเดือนขาด ยิ่งระดับเอชซีจียิ่งสูง (เช่นเดียวกับการตั้งครรภ์แฝด) ยิ่งมีอาการแพ้ท้องสูงขึ้นตาม

7. ท้องอืด

ใส่สกินนี่ยีนไม่ได้แล้วสินะ ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะทำให้การย่อยอาหารของคุณช้าลงและอาจทำให้หน้าท้องของคุณบวมกว่าปกติ เหมือนที่มันเป็นในช่วง PMS แต่อาการท้องอืดจะหยุดลงเมื่อรอบเดือนมาทำให้ระดับฮอร์โมนลดลง หากอาการท้องอืดยังอยู่และประจำเดือนก็ยังไม่มา ให้ซื้อที่ตรวจครรภ์มารอดูผลได้เลย

8. ปัสสาวะบ่อย

คุณอาจจะคิดว่าอาการปัสสาวะบ่อยจะตามมาทีหลัง เมื่อทารกเริ่มโตจนสามารถกดกระเพาะปัสสาวะของคุณ แต่อาการเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้นนั้นสามารถปรากฏในช่วงแรกได้ มดลูกที่บวมขึ้นไม่เพียงแต่สามารถไปกดทับกระเพาะปัสสาวะเท่านั้น การไหลเวียนของเลือดที่เพิ่มขึ้นไปยังไต ที่จะเริ่มขึ้นในทันที ก็ยังทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้นได้ด้วย อาการเช่นนี้ไม่ได้มีอะไรมาก นอกเสียจากว่ามันจะมาพร้อมกับความแสบไหม้หรืออาการติดเชื้ออื่น ๆ ที่ต้องให้แพทย์วินิจฉัย อย่างไรก็ตามไม่ควรลดการดื่มน้ำ

9. ความอยากอาหาร

มาถึงจุดนี้คุณมีแนวโน้มที่จะหามันทอดถุงโตหรือไอติมทั้งกล่องมาสังเวยความอยากของตัวเอง ร่างกายที่เหนื่อยล้าของคุณอาจต้องการคาร์โบไฮเดรตเพิ่มในตอนนี้เพราะมันเผาผลาญได้ง่ายซึ่งช่วยรักษาระดับพลังงานให้สูงขึ้น

เพราะร่างกายคุณเหนื่อยล้า มันจึงต้องการคาร์โบไฮเดรตเพิ่ม
เพราะร่างกายคุณเหนื่อยล้า มันจึงต้องการคาร์โบไฮเดรตเพิ่ม

10. ปวดศีรษะ

ปริมาณเลือดที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวบ่อย ๆ แต่ไม่รุนแรงนักในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก อาการปวดหัวเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้หากคุณไม่ดื่มน้ำมากพอหรือไม่ก็เป็นโลหิตจาง ดังนั้น ควรตรวจเช็คเรื่องเลือดของคุณให้ดีด้วย

ข่าวดีก็คืออาการไมเกรนจะลดน้อยลงเมื่อการตั้งครรภ์ดำเนินไป ฮอร์โมนที่มีความผันผวนมีแนวโน้มที่จะทำให้อาการปวดหัวแย่ลงและระดับฮอร์โมนหญิงจะมีเสถียรภาพมากขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์

11. ท้องผูก

ฮอร์โมนตัวเดียวกันที่รับผิดชอบในการทำให้ท้องอืดนั้นอยู่เบื้องหลังปัญหาท้องผูกของคุณ เนื่อจากเส้นทางการย่อยอาหารของคุณทำงานได้ช้าลง อาการตั้งครรภ์ระยะแรกของคุณน่าจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อย ๆ เมื่อการตั้งครรภ์ดำเนินไป

12. อารมณ์แปรปรวน

พบว่าตัวเองกำลังร้องไห้ตอนดูซีรีส์เกาหลี หรือโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่พนักงานอินเตอร์เน็ตค่ายที่คุณใช้อยู่จะยังมาจัดการโมเด็มที่เสียให้ไม่ได้จนกว่าจะวันอังคารหน้า เมื่อระดับฮอร์โมนเอชซีจีเพิ่มขึ้นคุณจะรู้สึกเหนื่อยล้ามากขึ้น ซึ่งทำให้คุณมีแนวโน้มที่จะหงุดหงิดมากขึ้น และอย่าลืมว่ามันผสมมากับอาการปวดศีรษะ อาการท้องอืด อาการท้องผูก และอาการเต้านมคัด

13. อุณหภูมิกายขณะพัก

การวัดอุณหภูมิร่างกายขณะพัก (BBT) โดยวัดจากปากในตอนเช้าสามารถระบุช่วงเวลาที่คุณตกไข่ได้ อุณหภูมิสูงขึ้นประมาณครึ่งองศาเมื่อไข่ถูกปล่อยออกมาและมันจะยังคงอยู่ในระดับสูงจนกว่าคุณจะมีรอบเดือน ดังนั้นถ้าคุณทำแผนภูมิ BBT และสังเกตว่าอุณหภูมิไม่ได้ลดลงในเวลาเกินกว่า 2 สัปดาห์นั่นอาจหมายความว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ คุณจะต้องใช้เครื่องวัดอุณหภูมิแบบดิจิตอลเพื่อวัด เพราะมันให้ความแม่นยำกว่าเทอร์โมมิเตอร์วัดไข้ทั่วไป

เส้นเลือดฝอยในจมูกถูกรบกวนอย่างหนักในช่วงนี้
เส้นเลือดฝอยในจมูกถูกรบกวนอย่างหนักในช่วงนี้

14. จมูกถูกรบกวน

เลือดกำเดาและอาการคัดจมูกเป็นเรื่องธรรมดาในการตั้งครรภ์ และทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับสองสาเหตุเดียวกัน การเพิ่มปริมาตรของเลือดทำให้แรงกดมากขึ้นต่อเส้นเลือดที่บอบบาง เช่นเดียวกับเส้นเลือดที่อยู่ในจมูกของคุณ แต่ฮอร์โมนก็เป็นสาเหตุหนึ่งเช่นกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอสโตรเจนสามารถทำให้หลอดเลือดขยายตัวซึ่งก่อให้เกิดอาการบวมของเยื่อเมือกในจมูกของคุณ โชคดีที่ความรู้สึกไม่สบายส่วนใหญ่สามารถบรรเทาได้ด้วยการใช้สเปรย์น้ำเกลือทั่วไป และมันควรจะแก้ไขได้ในไม่ช้าหลังคลอด

หากคุณเฝ้ารอคอยเจ้าตัวน้อย ก็ต้องรีบสังเกตอาการทางร่ายกายของตัวเองที่เปลี่ยนไปนะคะ เมื่อมั่นใจว่าท้องแน่นอนแล้ว จะได้รีบไปฝากครรภ์กันแต่เนิ่น ๆ เพิ่มความปลอดภัยของลูกน้อยและตัวคุณแม่เองค่ะ

 

อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th 

มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0