โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

“บริทาเนีย (BRI)” Next Level ของ ‘กลุ่มออริจิ้น’ กำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ

Wealthy Thai

อัพเดต 09 ส.ค. 2566 เวลา 15.55 น. • เผยแพร่ 30 พ.ย. 2564 เวลา 11.00 น.

ในช่วงที่ผ่านมามีบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หลายแห่ง วางกลยุทธ์การเติบโตด้วยการขยายไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องหรือธุรกิจใหม่ ซึ่ง บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ด้วยการขยายธุรกิจและบริการครอบคลุมผู้บริโภคทุกเจเนอเรชั่น ภายใต้แผน Next Levelผ่านแบรนด์ที่หลากหลาย ซึ่งปีที่ผ่านมา Covid-19 ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การ Work From Home และการเว้นระยะห่างทางสังคม เป็นต้น พื้นที่ใช้สอยภายในที่อยู่อาศัยจึงกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อของผู้บริโภคในปัจจุบัน ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยแนวราบทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม และทาวน์เฮาส์ จึงได้รับความนิยมอย่างมาก ทำให้ BRI หรือ บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หนึ่งในธุรกิจใหม่ของกลุ่มออริจิ้นมีการเติบโตอย่างโดดเด่น จนมีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เร็ว ๆ นี้ เพื่อนำเงินระดมทุนมาต่อยอดการเติบโตสู่ Top 5 ผู้นำอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบในไทย ธุรกิจของบริทาเนียจะน่าสนใจและแตกต่างจากผู้พัฒนาอสังหาฯ รายอื่นอย่างไร Wealthy Thai สรุปมาให้แล้ว

4 แบรนด์หลักของ “บริทาเนีย”

บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ถือเป็นบริษัทแกนนำหลักของกลุ่มออริจิ้นในการดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบในประเทศไทย โดยภายใน 1 ปีครึ่ง สามารถขยายแบรนด์ออกมาได้ถึง 4 แบรนด์ ได้แก่

  • เบลกราเวีย (Belgravia)

  • แกรนด์บริทาเนีย (Grand Britania)

  • บริทาเนีย (Britania)

  • ไบรตัน (Brighton)

ซึ่งมีระดับราคาตั้งแต่ระดับ 2.5-50 ล้านบาท ครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภคทุกเซกเมนต์ และจุดเด่น คือ การออกแบบบ้านโดยคำนึงถึงความต้องการและพื้นฐานของผู้อยู่อาศัยเป็นหลัก เช่น การออกแบบครัวไทยบริเวณนอกบ้าน และ ออกแบบพื้นที่ชั้น 1เป็นห้องนอนผู้สูงอายุ หรือปรับเปลี่ยนเป็นห้องอเนกประสงค์ได้ เป็นต้น จากแนวคิดดังกล่าว ทำให้เมื่อลูกค้าซื้อบ้านแล้วสามารถเข้าอยู่ได้เลย ไม่ต้องต่อเติมภายหลัง

กลยุทธ์เจาะตลาด Blue Ocean

นอกจากการออกแบบบ้านคำนึงถึงการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยเป็นหลักแล้ว กลยุทธ์การตลาดก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างการเติบโต โดยบริษัทฯ มีนโยบายเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจด้วยกลยุทธ์น่านน้ำสีน้ำเงิน (Blue Ocean Strategy) ซึ่งจะหลีกเลี่ยงการแข่งขันในตลาดหรืออุตสาหกรรมอสังหาฯ แบบดั้งเดิม ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมหรือความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ เพื่อสร้างความแตกต่างและความได้เปรียบทางการแข่งขัน เช่น การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์อย่าง Modern British Luxury Style ส่งผลให้ดีไซน์ของตัวบ้านและโครงการมีความโดดเด่นจากที่อยู่อาศัยแนวราบอื่น ๆ ในตลาดอสังหาฯ
ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับทำเลที่มีศักยภาพ โดยขยายไปยังพื้นที่บริเวณรอบนอกกรุงเทพฯ ปริมณฑล และพื้นที่ที่มีศักยภาพแห่งใหม่ เช่น กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก กรุงเทพฯ ตอนเหนือ สมุทรปราการ ปทุมธานี และสมุทรสงคราม เป็นต้น ซึ่งต้องเป็นทำเลที่เดินทางสะดวกติดถนนใหญ่ ทางด่วน รถไฟฟ้า และการคมนาคมขนส่งอื่นๆ เป็นต้น

“ออริจิ้น” เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

อีกข้อได้เปรียบที่เป็นจุดแข็งและช่วยให้ BRI สามารถแข่งขันกับบริษัทอสังหาฯ อื่นๆ ได้อย่างทัดเทียม คือ การมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่แข็งแกร่งและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่าง ORI หรือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งอาจได้รับประโยชน์จากความสัมพันธ์ทางธุรกิจ และโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง เช่น ได้รับความสนับสนุนด้านเงินกู้ยืมในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ ประโยชน์จากความสัมพันธ์ทางธุรกิจอันดีและยาวนานของ ORI และกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง พันธมิตรทางธุรกิจ และกลุ่มลูกค้า รวมถึงการจัดซื้อจัดจ้างผู้รับเหมาก่อสร้างเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง และได้รับประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) ฯลฯ
BRI ถือว่ามี DNA ของ ORIอยู่เต็มตัวเพราะนอกจากการเป็นบริษัทลูกของกลุ่ม ที่ถือเป็นเรือธงในโปรเจกต์ Next Levelแล้ว สไตล์การบริหารงานสร้างการเติบโต นวัตกรรมและการสร้างธุรกิจ การออกแบบโครงการ การรับผิดชอบต่อลูกค้า และการเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทำให้ฐานของลูกค้ากลุ่ม ORI เดิมที่เป็นเจ้าของคอนโดมิเนียม ต้องการซื้อบ้านเพื่ออัพเกรดความเป็นอยู่ หรือการย้ายออกไปยังพื้นที่นอกเมือง คนกลุ่มนี้จะรักและเลือกแบรนด์ BRI ไปด้วย ซึ่งเป็นการสร้างการเติบโตไปพร้อมกับลูกค้า
โดยก่อนการเสนอขายหุ้นไอพีโอให้แก่ประชาชน บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น BRI 599,999,940หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 99.99% ซึ่งภายหลังการเสนอขายหุ้นไอพีโอ สัดส่วนการถือหุ้นของ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ในสัดส่วน 70.37%

ผลงานเติบโตก้าวกระโดด

แม้บริษัทฯ จะก่อตั้งได้เพียง 4 ปี แต่มีผลประกอบการเติบโตก้าวกระโดด โดยมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นจาก 11.4ล้านบาท ในปี 2560เป็น 2,342.1ล้านบาท ในปี 2563ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ย (CAGR) 489.7%ต่อปี นอกจากนี้ บริษัทฯ มีการเติบโตของกำไรอย่างรวดเร็ว จากผลขาดทุน 3.7ล้านบาท ในปี 2560(เนื่องจากเป็นช่วงเริ่มก่อตั้ง) เป็นผลกำไรสุทธิ 348.7ล้านบาท ในปี 2563ล่าสุด 9 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 2,808.57ล้านบาท และกำไรสุทธิ 452.30ล้านบาท
ณ วันที่ 30ก.ย. 2564 บริษัทฯ สามารถปิดโครงการได้แล้ว 2โครงการ มูลค่าประมาณ 2,028ล้านบาท และมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์ 13โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 17,550ล้านบาท โดย คุณศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BRI กล่าวว่า ในไตรมาส 4/64 บริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 6โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,300ล้านบาท และโครงการในอนาคตอีก 9โครงการ มูลค่าประมาณ 10,800ล้านบาท ซึ่งภายหลังการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือการเติบโตในอีก 3-5 ปีข้างหน้า บริษัทฯ ตั้งเป้าเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ Top 5 ในตลาดแนวราบของไทยและในใจของผู้บริโภค

ระดมทุนเพื่อสร้างการเติบโต

สำหรับแผนการระดมทุน BRIจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 252,650,000 หุ้น คิดเป็น 29.60% ของหุ้นทั้งหมดหลังไอพีโอ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม ส่วนวัตถุประสงค์ในการระดมทุน บริษัทฯ จะนำไปเป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการและขยายธุรกิจในอนาคต ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ
นับเป็นอีกหนึ่งหุ้นไอพีโอที่น่าจับตามอง เพราะสามารถสร้างการเติบโตอย่างน่าประทับใจได้ในระยะเวลาอันสั้น รวมถึงโครงการบ้านจัดสรรมีเอกลักษณ์แตกต่างจากผู้พัฒนารายอื่น ๆ ต้องรอติดตามว่าภายหลังการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ BRIจะเป็น Next Levelที่น่าตื่นตาแค่ไหน ต้องติดตาม

นักลงทุนทั่วไปสามารถจองซื้อหุ้น IPO ของ BRI ได้ในวันที่ 13 ธันวาคม 2564 เวลา 9.00 น. ถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2564 เวลา 16.00 น. ภายในวันและเวลาทำการของผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย หรือผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายแต่ละราย หรือภายในวันและเวลาที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายตามที่ระบุในหนังสือชี้ชวนของบริษัทฯ ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด และ/หรือ ผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โดยบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถแจ้งราคาเสนอขายสุดท้ายในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรกในวันที่ 3 ธันวาคม 2564
ที่มา : ร่างหนังสือชี้ชวน บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน)

https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=354732

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0