อุยกูร์ : อดีตนายแบบชาวอุยกูร์ เผยแพร่ประสบการณ์เลวร้ายในค่ายกักกันจีนผ่านคลิปวิดีโอ - BBCไทย
เมอร์แดน กัปปาร์ ชินกับการอยู่หน้ากล้องอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่แบบนี้
ชาวอุยกูร์วัย 31 ปีผู้นี้เคยเป็นนายแบบที่ต้องแต่งตัวดีถ่ายโฆษณาให้เสื้อผ้าแบรนด์ดัง เพื่อเผยแพร่ทาง เถาเป่า เว็บไซต์ขายปลีกรายใหญ่ของจีน
แต่ในวิดีโอชิ้นนี้ เขาถ่ายตัวเองขณะมีสีหน้าวิตกกังวล นั่งอยู่ในห้องโทรม ๆ มีตะแกรงเหล็กกั้นกระจก ข้อเท้าบวม มือซ้ายถูกใส่กุญแจมือติดกับเตียงที่เป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเดียวในห้อง
วิดีโอของนายกัปปาร์ พร้อมกับข้อความหลายข้อความที่ถูกส่งต่อมาให้บีบีซี เป็นส่วนหนึ่งของหลักฐานที่หนักแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ว่าทางการจีนกักขังชาวอุยกูร์อยู่ในค่ายกักกัน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีหลักฐานที่เชื่อถือได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ว่ามีชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ รวมกว่าหนึ่งล้านคนถูกบังคับให้อยู่ในค่ายที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา
ทางการจีนบอกว่าค่ายเหล่านี้เป็นโรงเรียนฝึกฝนการต่อต้านแนวคิดสุดโต่ง ซึ่งคนสมัครใจมาเรียนเอง
บีบีซีเคยสอบถามไปยังกระทรวงต่างประเทศจีนและทางการเขตปกครองตนเองซินเจียงแต่ไม่มีการตอบรับ
ครอบครัวของกัปปาร์ ซึ่งขาดการติดต่อกับเขามา 5 เดือนแล้ว ยอมรับว่าการเผยแพร่วิดีโอนี้อาจทำให้เขาได้รับความกดดันมากขึ้น แต่พวกเขาบอกว่า มันเป็นความหวังสุดท้ายที่จะช่วยสะท้อนให้เห็นว่าเขาและชาวอุยกูร์โดยทั่วไปต้องเผชิญอะไรบ้าง
นายแบบ
ย้อนไปเมื่อปี 2009 นายกัปปาร์ก็เหมือนกับชาวอุยกูร์อีกหลายคนที่ย้ายออกจากซินเจียงเพื่อไปหาโอกาสชีวิตในเมืองอื่นของจีนที่เศรษฐกิจดีกว่า
เขาเป็นนักเต้นก่อนที่จะเริ่มทำงานเป็นนายแบบที่เมืองฝอซาน เพื่อน ๆ เล่าว่านายกัปปาร์สามารถทำเงินได้ถึงวันละ 1 หมื่นหยวน หรือ 4.5 หมื่นบาท
แม้ว่าเขามีเงินพอซื้ออะพาร์ตเมนต์เป็นของตัวเอง แต่เขาไม่สามารถซื้อโดยใช้ชื่อตัวเองได้ ต้องใช้ชื่อเพื่อนซึ่งเป็นชาวจีนเชื้อสายฮั่นแทน
แต่การเลือกปฏิบัติในครั้งนั้นเทียบไม่ได้เลยกับเหตุการณ์ที่เขาต้องเผชิญในเวลาต่อมา
หลังเกิดเหตุโจมตีรุนแรงต่อผู้สัญจรในกรุงปักกิ่งเมื่อปี 2013 และเมืองคุนหมิงในปี 2014 ซึ่งทางการจีนโทษว่าชาวอุยกูร์ที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนเป็นผู้ลงมือ ทางการก็เริ่มมองชาวอุยกูร์ด้วยความเคลือบแคลงสงสัย นำมาสู่การเริ่มสร้างเครือข่ายค่ายกักกันอย่างกว้างขวางในปี 2018
- ค่ายลับปรับทัศนคติที่ซินเจียง
- จีนทำอย่างไรในการ "ล้างสมอง" ชนกลุ่มน้อยในค่ายกักกัน
- อุยกูร์: 7 วันในค่ายปรับทัศนคติของจีน
- จีนห้ามมุสลิมในซินเจียงไว้เครายาว-คลุมหน้า
ส.ค. ปีเดียวกันนั้น นายกัปปาร์ถูกจับกุมและตัดสินจำคุก 16 เดือนฐานค้ากัญชา ซึ่งเพื่อนเขาบอกว่าเป็นการปรักปรำ
เขาถูกปล่อยตัวเมื่อ พ.ย. 2019 ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะนำตัวขึ้นเครื่องบินเดินทางไปยังซินเจียง โดยอนุญาตให้ครอบครัวและเพื่อนเอาเสื้อผ้าและโทรศัพท์มาให้ที่สนามบิน
ครอบครัวของเขาเชื่อว่าเขาถูกส่งตัวไปอยู่ในค่ายกักกัน และต่อมาอีกเดือนกว่า เขาจึงสามารถใช้โทรศัพท์มือถือสื่อสารกับโลกภายนอกได้เป็นครั้งแรก
ข้อความของนายกัปปาร์ ซึ่งส่งผ่านวีแชต (WeChat) แอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียของจีน เล่าว่า หลังถึงซินเจียง เขาถูกส่งตัวไปขังในสถานีตำรวจ
เขาเล่าว่า "ผมเห็นคน 50-60 คนถูกกักตัวอยู่ในห้องที่กว้างไม่เกิน 50 ตารางเมตร ผู้ชายอยู่ฝั่งขวา ผู้หญิงอยู่ฝั่งซ้าย"
"ทุกคนใส่ชุดที่เรียกกันว่าชุดสี่ส่วน มีถุงสีดำคลุมหัว กุญแจมือ โซ่ล่ามขา และโซ่ที่ล่ามกุญแจมือเข้ากับโซ่ที่ขา"
เขาบอกเล่าผ่านข้อความว่าได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากที่ไหนสักแห่งอยู่สม่ำเสมอ ซึ่งเขาเดาว่าเป็น "ห้องสอบสวน"
นายกัปปาร์เล่าว่า กฎการกักตัวช่วงการระบาดของโควิด-19 ในซินเจียงเข้มงวดมากกว่าที่ไหน ๆ ครั้งหนึ่ง มีเยาวชนชาย 4 คน อายุระหว่าง 16-20 ปี ถูกนำมาที่สถานีตำรวจเพราะพวกเขาออกไปเล่นกีฬาคล้ายเบสบอลกลางแจ้ง
พวกเขา "ถูกซ้อมจนร้องไห้เหมือนเด็กทารก ผิวที่ก้นฉีกเปิดจนไม่สามารถนั่งลงได้"
ตำรวจบังคับให้ทุกคนใส่หน้ากากอนามัยแม้ว่าพวกเขาต้องใส่ถุงคลุมหัวในห้องแคบ ๆ ที่ไม่มีอากาศหายใจอยู่แล้ว
"ถุงคลุมหัวและหน้ากากอนามัย ยิ่งมีอากาศหายใจน้อยเข้าไปใหญ่" นายกัปปาร์เล่า
ในเวลาต่อมา ขณะที่ผู้ถูกคุมขังคนอื่น ๆ ขึ้นรถมินิบัสที่พาพวกเขาไปที่ไหนสักแห่ง นายกัปปาร์ซึ่งมีไข้และเป็นหวัดถูกแยกตัวออกมาก่อนที่จะส่งไปยังสถานที่ที่เขาส่งวิดีโอชิ้นนี้ออกมา เขาถูกล่ามด้วยกุญแจไว้กับเตียง
"ทั้งตัวผมเต็มไปด้วยเหา ผมจับมันได้ทุกวันและก็พยายามแกะออกจากตัว คันมาก… แน่นอน สภาพแวดล้อมที่นี่ดีกว่าสถานีตำรวจ ที่นี่ผมอยู่คนเดียว มีเจ้าหน้าที่สองคนคอยเฝ้า"
ดูเหมือนเจ้าหน้าที่จะไม่ทันสังเกตเห็นมือถือเขาที่อยู่รวมกับข้าวของส่วนตัว
แต่หลังจากส่งข้อความออกมาเล่าประสบการณ์ได้ไม่กี่วันก็ไม่มีใครได้ข่าวสารจากเขาอีกเลย และทางการก็ไม่เคยออกมาระบุว่าเขาอยู่ไหน หรือมีเหตุผลอะไรที่ยังถูกควบคุมตัวเขาอยู่
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะยืนยันว่าข้อความที่เขาส่งมานั้นเป็นความจริง แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนบอกว่าวิดีโอดังกล่าวดูเป็นของจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะได้ยินเสียงโฆษณาชวนเชื่อประกาศอยู่เบื้องหลัง
"ซินเจียงไม่เคยเป็นเตอร์กิสถานตะวันออก" นี่คือข้อความประกาศเป็นภาษาอุยกูร์สลับกับจีนที่ได้ยินจากลำโพงนอกห้องเขา
เจมส์ มิลล์วอร์ด นักประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนโยบายจีนในซินเจียง แปลและวิเคราะห์ข้อความของนายกัปปาร์ที่ส่งมายังบีบีซี
เขาบอกว่าข้อความเหล่านี้สอดคล้องกับกรณีอื่น ๆ ที่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งตัวเขากลับซินเจียง กระบวนการสอบสวนในห้องแออัดซึ่งไร้สุขอนามัย
หลักฐานสำคัญอีกชิ้นหนึ่งที่นายกัปปาร์ส่งมาเป็นรูปถ่ายเอกสารคำปราศรัยของเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนของเขตอาเค่อซู (Aksu) โดยมีเนื้อหาเรียกร้องเด็ก ซึ่งบางรายอายุแค่ 13 ปี ให้ "สำนึกผิดและยอมจำนนโดยสมัครใจ"
นี่เป็นหลักฐานชิ้นใหม่ที่ชี้ว่าทางการจีนได้สังเกตการณ์และพยายามควบคุมความคิดและพฤติกรรมของชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ มากแค่ไหน
ดร.ดาร์เรน ไบเออร์ นักมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยโคโลราโด โบล์เดอร์ ซึ่งวิจัยเกี่ยวกับชาวอุยกูร์อย่างกว้างขวาง บอกว่านี่เป็นเอกสารทางการชิ้นแรกที่ชี้ว่าทางการเอาผิดกับเด็กฐานประกอบพิธีทางศาสนา
แม้ว่าการเอาวิดีโอนี้มาเผยแพร่จะเสี่ยงทำให้เขาถูกปฏิบัติอย่างโหดร้ายมากกว่าเดิม แต่ผู้ใกล้ชิดเขาบอกว่าไม่มีทางเลือกอื่น
"การอยู่เงียบ ๆ ก็ไม่สามารถช่วยเขาได้เหมือนกัน" อับดุลฮาคิม กัปปาร์ ลุงของนายกัปปาร์กล่าว เขาเคยเคลื่อนไหวทางการเมืองในจีนและลี้ภัยไปอยู่เนเธอร์แลนด์แล้วตอนนี้
"แน่นอน ผมมั่นใจ 100%… เขาถูกคุมตัวเพราะผมอยู่ต่างประเทศ และผมเข้าร่วมในการประท้วงต่อต้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนของจีน"
บีบีซีได้ส่งไปถามทางการจีนเรื่องนี้แต่ไม่ได้รับคำตอบแต่อย่างใด
ตอนนี้ ครอบครัวของนายกัปปาร์ดูวิดีโอที่เขาส่งมาและอดไม่ได้ที่จะนึกถึงการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ชายอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน ที่ทำให้เกิดกระแสประท้วงไปทั่วโลก
"ตอนผมเห็นวิดีโอเหตุการณ์จอร์จ ฟลอยด์ ผมนึกถึงวิดีโอของหลานชายตัวเอง"
"ชาวอุยกูร์ทั้งหมดเหมือนกับจอร์จ ฟลอยด์ ในตอนนี้ พวกเราหายใจไม่ออก"