โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

สิ่งที่นึกขึ้นได้เมื่อต้องทำงานกับคนที่คุณเกลียด - เพจบันทึกนึกขึ้นได้

TOP PICK TODAY

เผยแพร่ 30 ก.ค. 2563 เวลา 17.15 น. • เพจบันทึกนึกขึ้นได้

เคยเจอหน้าใครครั้งแรกแล้วมีความรู้สึกว่า 

 ไม่ถูกชะตากับคนนี้เลยมั้ยครับ 

 

อารมณ์เหมือนมองหน้ากัน 

ต่างคนต่างรู้ว่า  ไม่ชอบ

แล้วเราก็รู้อีกด้วยนะว่า อีกฝ่ายก็ไม่ได้ชอบเราเหมือนกัน 

 

แล้วเคยต้องไปทำงานกับคนคนนั้นด้วยรึเปล่า

 

เคยต้องทำงานกับคนที่เราไม่ชอบ

ทั้งในแบบที่ไม่ชอบทางความรู้สึกข้างใน(ที่อาจจะคิดไปเอง)

 

ไม่ชอบในแบบที่เค้าเองก็แสดงออก

ต่อคนอื่น ต่อเรา ผ่านผลงานการสร้างความร้าวฉาน

ผ่านการขึ้เม้า การขัดแข้งขัดขา 

ผ่านความยุ่งยากต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อต้องทำงานด้วย

 

ที่ทำให้เราพอตื่นเช้ามาแล้วรู้ว่าวันนี้ต้องไปเจอ ต้องไปประชุมกับเค้า 

ต้องไปเจอเนี่ย แล้วเราก็รู้สึกว่า กูไม่อยากเจอมันเลยยยย

 

ทำยังไงดี เมื่อเราต้องทำงานร่วมกับคนที่เราเกลียดดดดดด

 

 

ในช่วงอายุงานที่มากขึ้นเรื่อยๆ 

บางทีมันก็ทำให้เรามองเรื่องเดียวกัน 

จากที่เคยมองมันแบบนั้น 

กลายเป็นมองไปอีกแบบนึง 

 

ผมทำงานออฟฟิศนี่แหละครับ

เป็นออฟฟิศของบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง

ที่จริงก็เคยทำของบริษัทไทย บริษัทจีนมาบ้าง

แต่ที่นี่อยู่นานที่สุด 

 

นานพอที่จะทำให้มีความรู้สึกได้ว่า 

การที่จะทำงานกับใครสักคน มันต้องปรับตัวอะไร ยังไงบ้าง 

 

บางคนก็ดีนะครับ ทำงานด้วยแล้วมีความสุข

ได้เรียนรู้ รู้เลยว่าทำงานด้วยแล้ว ตัวเองเก่งขึ้น

 

แต่บางคนก็ทำงานด้วยยากมาก

เงื่อนเยอะแยะ หยุมหยิม เยอะนี่ไม่ว่า 

เราเข้าใจนะ ทำให้ได้ 

แต่คนที่รับปากแต่ไม่ทำ 

ทำหน้ามึน ส่งเมลล์ไปอ่านแต่ไม่ตอบ 

อ่านแล้วไม่สนใจ พอถึงเดดไลน์ไม่ได้งาน 

 

บางคนก็ขี้เม้า วันๆ นี่เดินมาเม้ากับโต๊ะนั้นโต๊ะนี้ได้ไม่ขาดสาย

เอาจริงๆ การสมอลทอล์กนี่มันก็โอเคอยู่นะครับ เราก็รู้สึกว่าได้อัพเดทอะไรกับเขาบ้าง

 

แต่การที่คุยกัน นินทากันเป็นกิจจะลักษณะ 

แบบที่เดินผ่านก็รู้เลยว่ากำลังนินทาคนอื่นอยู่

เพราะเขาจะใช้น้ำเสียงอีกโทนในการพูดคุยเรื่องของคนอื่น

สายตาจะล่อกแล่ก คือจริงๆ การใช้น้ำเสียงโทนนี้

คนอื่นเค้าก็ทำเหมือนไม่ได้ยินไปงั้นแหละ แต่จริงๆ คือองศาใบหูนี่หันเข้าดาวเทียมกันหมดเลยนะ

 

คือที่นั่งนิ่งๆ กดคีย์บอร์ดเป็นซาวน์แทร็กประกอบการเม้าท์ของคุณ

คือพวกผมฟังอยู่นะครับ

 

ที่ฟังนี่ไม่ใช่อะไร 

ลุ้นอยู่ว่าเมื่อไหร่จะมีชื่อเราเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย

 

ซึ่งเอาเข้าจริงถ้ามีเราก็ไม่รู้หรอก 

เราไม่มีทางรู้เลยว่าคนอื่นจะพูดถึงเราเมื่อไหร่ 

แต่เท่าที่ผมสังเกตนะ 

 

มันก็จะมีตอนที่เราเดินไปเข้าห้องน้ำ 

เดินออกจากห้องประชุม 

เดินออกไปจากจุดที่ยืนคุยกันอยู่ เช่น ห้องน้ำหวาน ห้องครัว

แล้วก็ตอนที่นั่งรถกลับบ้านด้วยกัน 

 

ประมาณนี้แหละที่เค้าจะพูดถึงเรา 

 

จริงๆมีหลายประเภทมากๆนะ 

ผมว่าเราน่าจะเจอกันมาบ้าง อาจจะต่างตัวละคร 

แต่ผมว่าบทก็คงคล้ายๆ กัน 

 

ซึ่งการต้องทำงานกับคนเหล่านี้ 

เป็นเรื่องยากเหมือนกันนะ 

ยิ่งกับคนที่เคยมีเรื่องแบบที่เค้าทำบางสิ่งบางอย่างให้เราให้เจ็บช้ำน้ำใจด้วยแล้ว

ผมว่าอันนี้ยากสุด 

 

บางทีก็ต้องทำความเข้าใจว่า เพื่อนร่วมงานบางคน

เข้ามาเป็นเพื่อนกันในชีวิตไมได้จริงๆ 

 

 

-----

 

 

ผมเคยมีเรื่องหนึ่ง เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน จะเล่าให้ฟัง

อันนี้ผมต้องหรี่่ดเสียงตัวเองลงเนอะ จะได้รู้ว่ากำลังเม้าท์อยู่

นั่นไง ว่าเขา เป็นซะเอง

 

มีคนหนึ่งที่ทำงาน ที่เราต่างรู้กันว่า ไม่ค่อยถูกชะตากัน 

เพราะเราต่างไม่เคยคุยกันเลย จริงๆ อยู่กันคนละแผนก 

เวลาเจอก็แค่ยิ้มมุมปากเบาๆ ให้พอที่เวลาเดินสวนกันจะได้ดูหน้าไม่หยิ่ง

 

ซึ่งมีเหตุการณ์ที่เค้าต้องมาขอความช่วยเหลือผม ให้ช่วยงานบางอย่างที่เค้าไม่ถนัด

ผมตอบรับนะ เป็นงานที่ใช้เวลา และใช้รีสอร์ทในตัวเองมากพอสมควร 

แต่ก็ตบปากรับคำไป เพราะว่าเราอยากพิสูจน์ด้วยตัวเองว่า

สิ่งที่เราคิดว่าเค้าน่าจะเข้ากับเราไม่ได้

น่าจะเป็นสิ่งที่เราคิดไปเอง ความจริง ถ้าได้ร่วมงาน เค้าอาจจะน่ารักก็ได้ 

 

ไม่อยากเอาความรู้สึกไปตัดสินใครสักคน 

คนที่เราไม่ได้รู้จักผ่านการได้ร่วมอะไรกันสักอย่างจริงๆ 

 

ผมก็เตรียมงาน ช่วยงานเค้าไป 

ระหว่างนั้นก็มีเรื่องให้ช่วยอยู่เรื่อยๆ 

เราก็ทำๆ เออ… บรรยากาศมันก็ดีนินา 

สงสัยเราจะคิดไปเองจริงๆ

 

พอเราทำงานให้เค้าเสร็จ 

เค้าก็หายหัววับไป ไม่มีแม้กระทั่งคำว่าขอบคุณ 

ไม่มีเลยจริงๆ แถมตอนที่เจอกันตอนพักเที่ยง ก็ไม่มีการทักทาย

ไม่พูดถึงหยาดเหงื่อที่เราสละเวลาที่ไม่ได้เป็น KPI ของตัวเองไปช่วยด้วยเลยนะ

 

มันมี่ตอนที่เราไลน์ไปหาเค้าเพื่ออัพเดทข้อมูลสักอย่างในไลน์ 

แต่ก็ไม่เห็นว่าอ่านหรืออะไร 

วันนึงไปเจอระหว่างพักเที่ยง ก็เลยถามว่า เออ ส่งข้อมูลไปให้ในไลน์นานละนะ ไม่เห็นอ่าน

เค้าตอบกลับมาว่า อ้อ เห็นละ แต่ไม่ได้อ่านหรอก เพราะเราไม่ได้แอดเธอเป็นเพื่อน 

พูดแบบอารมณ์หน้าตาเฉย

 

เดี๋ยวนะ เฮลโหลลลล นี่งานมึงนะค้าาบบบบ ไม่ใช่งานกูเลยยย

ไม่ใช่เลยจ้า ไม่ใช่ธุระปะปัง 

 

จำน้ำเสียงที่มาขอร้องได้มั้ย 

จำน้ำเสียงที่มาอ้อนวอนให้ช่วยได้รึเปล่า 

 

แหม่ อยากจะกดอัดแล้วมาเปิดให้ฟังหน้าเซเว่น จุดที่คุยกันอยู่ซะเหลือเกิน 

 

ณ จุดนั้นเองที่ผมรู้สึกได้ว่า 

เออ  เราไม่ได้มองเขาผิดไปตั้งแต่แรกนินา

 

การลงแรง เข้าไปช่วยเค้า เค้าไปสัมผัสตัวตนของเค้า 

มันไม่ได้ไร้ค่าเลย 

มันทำให้เราได้ค้นพบอีกมุมนึงที่เราคิดว่าเค้าน่าจะเป็นแบบนั้น 

แล้วเค้าก็แสดงออกให้เราเห็นจริงๆ แบบที่ไม่ต้องคิดไปเอง 

 

 

 

 

แต่ผมก็ไม่ตัดสินเค้านะ 

เพราะเขาอาจจะมีมุมที่ดีที่หันไปให้คนอื่นเห็น 

บังเอิญมุมที่เราได้รู้จักกัน มันดันไม่มุมที่คนส่วนใหญ่เห็นเค้าสักเท่าไหร่ 

 

ผมพยายามคิดหลายๆ แบบว่า

เราควรมองเรื่องราวเหล่านี้ยังไงดี 

 

ผมจะลองคิดดูสัก 5 แบบ 

คุณลองคิดไปกับผมนะ 

 

 

  •  

แกนี่มันไม่รู้จักบุญคุณ คนช่วยขนาดนี้ 

นี่ถ้าไม่ได้เรา โปรเจ็คแกจะสำเร็จมั้ย

คิดสิคิด ทำแบบนี้มันใช่หรอแก

 

 

  • หรือจริงๆมันเกิดขึ้นจากตัวเราวะ

เราไปทำอะไรให้เค้าไม่พอใจรึเปล่า 

หรืองานเรามันไม่โอเค หรือนิสัยเราเองที่ไม่ดี

เราถามเยอะไป เราจุกจิกแน่ๆ 

 

  • พักก่อนอย่าเพิ่งคิดจริงๆมันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้

 

  • การที่เราตัดสินใจไปช่วยเค้าครั้งนี้มันสำคัญกับเรามากเหมือนกันนะ

ที่อยากจะลองเข้าไปดูว่าจริงๆ แล้วเราเข้ากันได้มั้ย พอเกิดแบบนี้ขึ้นมาก็เสียความรู้สึกเหมือนกัน 

 

   5. จริงๆ เค้าคิดยังไงกับเรานะ อยากจะรู้เหมือนกันว่าทำไม 

อยากจะเข้าใจว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ เพราะอะไรกันแน่ 

 

 

คุณรู้มั้ยว่าผมพยายามหาคำตอบผ่านการใส่หมวกที่ต่างกันถึงห้าใบ 

ถามว่าสุดท้ายผมใส่หมวกใบไหน ผมเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน 

มันมีบางช่วงที่เราอยากใส่หมวกใบแรก 

คือด่าเค้าไปเลย คนอะไร ไม่รู้จักขอบคุณ 

บางช่วงก็รู้สึกว่า เอ๊ะ หรือว่ามันเกิดขึ้นเพราะเรา 

แต่พอให้หยุดใส่หมวกใบที่สาม ใบที่พักสักพัก แบบที่ไม่ต้องคิดอะไร

มันก็ทำให้เราหยิบหมวกใบที่สี่มาใส่ ให้ไตร่ตรองดูอีกที

และหมวกใบสุดท้าย ใบที่ผมคิดว่ามันมีเหตุผลมากที่สุดที่จะค้นหาว่าสุดท้ายแล้ว

เค้ารู้สึกยังไงกับเรา 

 

 

มันก็เลยทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ว่า 

 

สกิลการทำงานที่พิสูจน์ว่าเราโตขึ้นบ้างรึเปล่า 

คือการทำงานกับคนที่ไม่ชอบหรือเค้าก็ไม่ชอบเรา

แบบที่เสร็จงานด้วยความราบรื่น

 

เรียกว่าหนีกันไม่พ้น ไม่ว่าจะทำงานที่ไหน 

จะย้ายที่ ย้ายแผนก 

ย้ายตัวเอง หรือคนอื่นย้ายหนี 

เราก็จะเผชิญกับคนที่ไม่ชอบอย่างน้อย 1 คนอยู่วันยังค่ำ

 

แต่การป่าวประกาศว่า เราเป็นคนตรงๆ 

ด่ามาด่ากลับ เกลียดใครก็ไม่ยุ่ง ไม่สน 

ไม่ทำงานด้วย ไม่เห็นหัว

อาจไม่ใช่วิธีปฏิบัติที่ดีของที่มีวุฒิภาวะแล้ว

 

ต้องคิดต่อว่า 

ไม่ชอบยังไงให้ยังทำงานด้วยกันได้

เกลียดยังไงให้อีกคนดูไม่ออกว่าเราเกลียด

เกลียดยังไงให้อีกมุมนึงก็ยังทำความเข้าใจเค้า

ว่าความเกลียดนี่มันก็มีสาเหตุ

และถ้ามีเวลาที่สามารถเข้าไปปรับความเข้าใจกันได้

ก็อย่าละเลยโอกาสนั้น 

 

เกลียดยังไงให้รู้ว่า เออ โคตรเกลียดกันเลยนะ 

แต่คือเป้าหมายเดียวกันไง 

บางเรื่องก็วิน-วิน กันทั้งคู่ 

ไม่ถึงกับขนาดต้องกล้ำกลืนที่จะทำเป็นจับมือกัน 

แต่ก็กุมมือกันพอหลวม 

และพร้อมที่จะสะบัดออกเมื่องานชิ้นนั้นสำเร็จลุล่วง

 

ไม่ใช่เรื่องง่าย 

ที่เราจะต้องหยิบหมวกแต่ละใบมาใส่ 

เมื่อเจอเหตุการณ์ต่างๆ ในที่ทำงาน 

สถานที่ที่เหมือนห้องเรียนนั่นแหละ

แต่ผู้คนร้ายกาจกว่านั้น 

 

ของแบบนี้ขึ้นอยู่กับภาวะในจิตใจ ทัศนคติ

และความเป็นผู้ใหญ่ของตัวเองล้วนๆ

 

ไม่เคยคาดหวังเลยว่าตัวเองจะทำเรื่องเหล่านี้ได้ 

เพราะไม่ชอบถูกคนเอาเปรียบ

โดยเฉพาะคนที่รู้สึกว่าเคมีบางอย่างผสมไม่ลงตัว

 

แต่พอเจอเรื่องเหล่านี้เยอะขึ้น

สกิลเราก็มีมากขึ้นที่จะสังเกตออกว่า 

สถานการณ์ไหนควรจะหยิบหมวกใบไหนขึ้นมาใส่ 

สถานการณ์ไหนคือความจริง 

อันไหนคือ "สาร" ที่แท้จริงที่เขาไม่ได้พูดออกมา

หรือแสร้งซ่อนนัยยะอยู่ในคำเยินยอก่อนจิกหัวใช้งานเหล่านั้น

 

หลายครั้งที่เราต้องการความช่วยเหลือของคนที่ไม่ชอบอย่างปฏิเสธไม่ได้ 

คนเหล่านั้นก็เช่นกัน ที่เค้าก็ปฏิเสธไม่ได้ที่จะร่วมงานกับเรา

 

นั่นจึงไม่แปลกที่บางโอกาสเราอาจจะต้องร่วมมือกันอีกครั้ง

เพื่อให้หน้าที่การงานลุล่วงไปด้วยดี

 

คาดหวังอยู่ในใจลึกๆ ว่า

คนที่เราไม่ชอบ สักวันอาจจะชอบเขาก็ได้เมื่อได้ทำความรู้จักกันในมุมอื่นๆ 

แต่บางครั้งมันก็สะท้อนกลับมา

เมื่อได้ทำความรู้จักกันจริงๆแล้วว่า

ไม่ว่าผมจะใส่หมวกใบไหนมองเค้าก็ตาม

คนที่ไม่ชอบ สุดท้ายก็เป็นคนที่ไม่สามารถชอบได้อยู่ดี

 

แต่ก็แฮปปี้นะ 

ที่ทำงานด้วยทุกวันนี้ก็ไม่ได้ใส่หน้ากากให้ใคร 

แต่เราปรับตัว และมองออกสำหรับบางคนที่มองตาก็ต่างรู้ใจ

 

ไม่ต้องพูดอะไรมาก

รู้กัน

 

ลองเอาหมวกที่ผมเล่าไปให้ฟังไปใส่ดูครับ 

มองดูดีๆ อย่าเพิ่งคิดว่าทุกคนเลวร้ายไปซะหมด

เพราะบางที มันอาจจะเป็นเรา

ที่คนอื่นเค้ากำลังเกลียดอยู่ก็ได้

 

ใครจะไปรู้ 

:)

ติดตามบทความใหม่ ๆ จาก เพจบันทึกนึกขึ้นได้ ได้บน LINE TODAY ทุกวันศุกร์

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0