โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

“หนังสือไร้ตัวอักษร” เทรนด์ใหม่พ่อแม่ยุค 4.0

สยามรัฐ

อัพเดต 15 ส.ค. 2563 เวลา 03.30 น. • เผยแพร่ 15 ส.ค. 2563 เวลา 03.30 น. • สยามรัฐออนไลน์
“หนังสือไร้ตัวอักษร” เทรนด์ใหม่พ่อแม่ยุค 4.0

เมื่อพูดถึงนิทาน สิ่งที่พ่อแม่นึกถึงคงเป็นนิทานที่มีภาพสวยงามและใช้คำสละสลวย ดังนั้น หลายๆบ้านจึงเลือกหานิทานที่มีคำบรรยายง่ายๆและภาษาสวยงามเพื่ออ่านให้ลูกๆฟัง โดยมุ่งหวังให้ได้ทั้งความสนุกและเรียนรู้คำศัพท์ต่าง ๆ แต่รู้ไหมว่ายังมีนิทานประเภทหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มพ่อแม่ยุคใหม่ นั่นคือหนังสือที่มีแต่ภาพ ไร้ตัวอักษร!

หลายคนอ่านกังวลและตั้งคำถามว่าหากใช้หนังสือไร้ตัวอักษร หรือWordless Picture Book กับลูกๆ จะอ่านอย่างไร เล่าเรื่องอย่างไร และถ้าเล่าโดยไม่มีคำประกอบเด็กจะเข้าใจเรื่องราวผิดเพี้ยนไปไหม หรือผู้ใหญ่บางคนอาจมองว่าซื้อแล้วไม่คุ้มเพราะมีเพียงภาพเท่านั้น! ไม่มีคำศัพท์ที่จะช่วยเสริมสร้างทักษะทางภาษาให้แก่เด็ก ๆ เลย แต่แท้จริงแล้วหนังสือไร้ตัวอักษรมีข้อดีมากมายจนแทบไม่น่าเชื่อ!

นิทานชุด MAMOKO ดูดีดี เมืองนี้มีอะไร หนึ่งในนิทานไร้ตัวอักษร ที่ใช้ภาพประกอบเล่าเรื่องแทน รายละเอียดต่าง ๆ ในหน้าหนังสือพร้อมจะกระตุ้นให้เด็ก ๆ ได้สังเกต จินตนาการ และวิเคราะห์เชื่อมโยงเรื่องราวหน้าต่อหน้า และสนุกกับเหตุการณ์ในเล่มตั้งแต่ต้นจนจบ อีกทั้งยังอ่านได้ซ้ำ ๆ ไม่รู้เบื่อ

ความพิเศษของนิทานชุดนี้คือทุกครั้งที่เปิดอ่าน จะเกิดเป็นเรื่องราวใหม่ ๆ เสมอ เพราะภาพแต่ละหน้า องค์ประกอบแต่ละส่วน ตัวละครแต่ละตัว ล้วนเปิดโอกาสทางความคิดให้แก่เด็ก ๆ และเปิดช่องให้ผู้เล่าอย่างพ่อแม่และครูได้เล่าเรื่องอย่างพลิกแพลง อันทำให้เกิดประโยชน์หลากหลายไม่รู้เบื่อ ส่งเสริมให้ทักษะสมองส่วนการยืดหยุ่นความคิด (Shift/Cognitive Flexibility) ของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้ทำงานอย่างเต็มที่

ทั้งนี้พ่อแม่อาจเลือกตัวละครสักหนึ่งตัวเพื่อดำเนินเรื่องราวและเล่าให้เด็ก ๆ ฟัง โดยเริ่มด้วยการดูภาพและเล่าตามสิ่งที่เห็นจากนั้น การสนทนาโต้ตอบ และปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่กับเด็กก็จะเกิดขึ้น เพราะไม่มีคำบรรยายกำกับ การเล่าเรื่องจึงเป็นไปอย่างอิสระ ไม่มีผิดถูก และข้อดีตรงนี้เองที่จะทำให้ทักษะทางภาษาได้รับการพัฒนา ด้วยการซับซึมภาษาธรรมชาติจากพ่อแม่ และหากเปิดโอกาสให้เด็กลองเล่าเรื่องด้วยตัวเอง ก็จะยิ่งทำให้ทักษะด้านการพูดพัฒนาเช่นกัน เนื่องจากเด็กต้องนำประสบการณ์ที่เคยได้รับจากการฟังและคลังคำศัพท์ที่มีออกมาใช้อย่างเต็มที่ ทำให้นอกจากจะพัฒนาทักษะทางภาษาแล้วยังเป็นการพัฒนาทักษะสมอง EF ด้านการจำเพื่อใช้งาน (Working Memory) และการไตร่ตรอง (Inhibiyory Control) ด้วย

รู้ไหม รู้ไหม ใครหายไปนะ และ มองใกล้ มองไกล นี่ใครกันนะ หนังสือกระตุกต่อมสุดสร้างสรรค์ที่มาท้าทายเด็กช่างคิด ด้วยภาพประกอบที่จะทำให้สนุกได้โดยไม่ต้องพึ่งพาตัวอักษรแม้แต่น้อย

ภายในเล่มไม่มีโจทย์ชวนเล่น แต่ภาพประกอบในเล่มก็หน้าที่ถ่ายทอดความสนุกและกระตุกต่อมเอ๊ะ! ได้อย่างมหัศจรรย์ ทั้งสองเล่มนี้มีสีสันที่สดใส ชัดเจน โดดเด่น ซึ่งเหมาะกับพัฒนาการในการมองเห็นของเด็กวัย 0-2 ปี และช่วยกระตุ้นให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่เพื่อค้นหาคำตอบด้วยการสังเกต วิเคราะห์ภาพที่เห็น และเชื่อมโยงไปสู่หน้าถัดไป เกิดเป็นการจดจ่อใส่ใจภาพ ชวนให้ยั้งคิดไตร่ตรอง และส่งเสริมการยืดหยุ่นความคิด อันเป็นทักษะสมอง EF นั่นเอง

หนังสือสองเล่มนี้จึงเป็นหนังสือไร้ตัวอักษรที่จะช่วยพัฒนาทักษะทางภาษาได้ด้วยการดึงคำศัพท์ต่าง ๆ จากคลังคำศัพท์ในสมองของเด็ก ๆ มาใช้ ด้วยการกระตุ้นให้พวกเขาอธิบายว่าเห็นอะไร ลักษณะอย่างไร และคิดต่อยอดว่าเรื่องราวจะดำเนินการไปอย่างไร

หนังสือไร้ตัวอักษรจะมีประโยชน์และคุ้มค่าเพียงใดเกิดจากวิธีใช้งานของผู้อ่าน ขอเพียงผู้ใหญ่อย่างเราเปิดใจและกล้าจะใช้หนังสือรูปแบบใหม่ ๆกับเด็ก แต่อย่างไรก็ดี ทุกเล่มมีคำแนะนำที่เขียนโดยครูก้า – กรองทอง บุญประคอง ผู้เชี่ยวชาญในการจัดกระบวนการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยและผู้ก่อตั้งโรงเรียนจิตตเมตต์ เพื่อให้นักอ่านรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ได้ใช้หนังสืออย่างเต็มประสิทธิภาพ และสนุกกับการอ่านด้วยกันทั้งครอบครัว

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0