เหลือบสายตาจากจอที่คอยบอกเวลานับถอยหลังว่าอีกกี่วินาทีไฟเขียวจะลงมา
ภาพน้องหมาตัวหนึ่งที่กำลังวิ่งข้ามถนนตรงสี่แยกไฟแดงด้วย 3 ขาอย่างยากเย็น กับอีก 1 ขาหลังที่ใช้การไม่ได้ ซ้ำยังหักชี้ออกนอกทิศทางอย่างผิดธรรมชาติห้อยกระเตง แกว่งไปมาเหมือนจะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ผมแอบหันไปมองเพื่อนคนดีที่นั่งสะเทือนใจอยู่ในรถด้วยกันอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้ ด้วยเพื่อนคนนี้เพิ่งสูญเสียน้องหมาสุดที่รักไปในไม่ถึง 1 ชั่วโมงที่ผ่านมานี้เอง และที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือ ตัวมันเป็นคนถอยรถไปทับ “เจ้าคิม” อย่างไม่ตั้งใจด้วยน้ำมือของตัวมันเอง
“แก คิมตายแล้วนะ”
ประโยคแรกกับเสียงสั่นเครือที่ได้ยินหลังรับโทรศัพท์ ก่อนจะได้ยินคำว่า ฮัลโหล หรือสวัสดีซะอีก และยังไม่ทันที่ผมจะคิดหาคำพูดอะไรมาปลอบใจ ประโยคต่อไปที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็ตามมา
“เราถอยรถทับมันตายในบ้านเมื่อกี้นี้เอง”
ผมเงียบ เงียบเพราะนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรจริง ๆ สารภาพว่าปลอบไม่ถูก ให้กำลังใจไม่เป็น ด้วยคิดไม่ทันว่าควรจะทำ หรือควรจะรู้สึกอย่างไรดี ควรโทษใคร หรือหาเหตุผลอะไรมาอธิบายความเป็นไปที่น่าลำบากใจครั้งนี้
“เฮ้ย เอาน่า สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรม มันคงถึงคราวของมันละ” ผมปลอบไปแบบไร้สติ ด้วยใจนึงก็สงสารเพื่อน อีกใจสงสารเจ้าคิมเหลือเกิน หมาไทยสีดำขลับอายุ 10 กว่าปีที่ไม่เคยมีปากเสียงกับใคร แต่ก็ไม่เคยบกพร่องในหน้าที่ของการเป็นหมาเฝ้าบ้าน และกับการเป็นเพื่อนที่รักและจริงใจที่สุดของเพื่อนผมคนนี้มาตลอด
“ตอนเที่ยงผมยังเอาซาลาเปาไปให้มันกินอยู่เลย มันไม่ควรต้องตาย แบบนี้”
จริงๆ แล้วเพื่อนผมพูดไม่จบประโยคหรอกครับ ด้วยเสียงที่หายแห้งไป กับการพยายามจะไม่ร้องไห้ของผู้ชายคนนึงที่ตั้งแต่คบกันมา ผมยังไม่เคยเห็นมันเสียน้ำตากับเรื่องอะไรเลย
มันคงเป็นกลไกของหัวใจที่มักจะหาทางออกให้ความรู้สึกแบบนี้ ด้วยการพยายามหาเหตุผลที่บางครั้งแม้จะรู้ทั้งรู้ว่าโกหก แต่ก็ยังอาจฟังดูดีพอจะหลอกหัวใจเพื่อปลอบให้ตัวเองรู้สึกผิดน้อยลงได้ หรือการพยายามหาคนผิด ด้วยการโทษใคร โทษอะไรซักอย่าง
ครั้นจะให้สรุปว่าสิ่งที่เกิดครั้งนี้เพื่อนผมผิดก็คงไม่ใช่ หรือถ้าจะถามว่า แล้วเค้าควรโทษตัวเองไหม ผมก็ไม่เห็นด้วยนะ โดยหลักการแล้วผมเห็นด้วยครับว่าควรมีผู้รับผิดชอบเมื่อมีความ “เสียหาย” ใด ๆ เกิดขึ้น แต่หลักการนี้คงไม่ใช่กับเรื่องของความ “สูญเสีย” แบบนี้
เราอาจไม่ต้องหาเหตุผลให้กับทุกเรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้เสมอไปก็ได้
หลายครั้งความผิดพลาดก็อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่มีใครสักคนทำผิด
เพื่อนผมก็ถอยรถเข้าออกแบบนั้นทุกวัน วันละหลาย ๆ รอบมาเกือบ30 ปี ครั้นจะให้มันลงมาส่องดูใต้ท้องรถทุกครั้งก็คงไม่ใช่ จะด่าว่าประมาทก็ไม่เชิง แล้วจะบอกว่าเป็นความผิดใครล่ะ
ผมนั่งคิดเล่น ๆ และแอบสงสัยเหมือนกันนะครับว่า จริง ๆ แล้วการที่เพื่อนผมเพิ่งมีโอกาสได้ให้ซาลาเปาเจ้าคิมกินตอนเที่ยง เพิ่งได้เล่น ได้กอดกับมัน ในโค้งสุดท้ายก่อนตายจากกัน เทียบกับการที่ไม่มีโอกาสได้เจอได้ดูแลมันเลยซัก 2 เดือน
อย่างไหนจะทำให้เราเสียใจมากกว่ากัน
แบบแรก เราคงเสียใจเพราะใจหายด้วยผูกพัน
แต่แบบหลัง แลกกับความผูกพัน บางทีเราอาจไม่มีแม้มีน้ำตาสักหยดตอนจากกัน แต่มันอาจทำให้คุณต้องเสียใจไปตลอดชีวิต เพราะพลาดโอกาสที่จะได้ทำสิ่งดีๆ และได้มีเวลาร่วมกันอย่างที่ควร
“อั๋น แกเห็นหมา 3 ขาตัวที่เพิ่งวิ่งข้ามถนนไปไหม ดูสิ มันวิ่งไปวิ่งมาทุกวัน ยังโชคดีไม่ถูกรถชนตายเลย หมาผม นอนอยู่ดี ๆ กลับโชคร้ายต้องมาตาย ไม่ยุติธรรมเลย”
คำถามประโยคแรกจากเพื่อนผมที่ดังขึ้น ดึงผมกลับมาจากความคิดมากมายของตัวเองที่กำลังฟุ้งกระจายอยู่กลางสี่แยกไฟแดงแห่งนี้
บางที ถ้าน้องหมา3 ขาตัวนั้นได้รู้จัก หรือเจอกับเจ้าคิมในซักวัน และรู้ว่าตอนที่คิมมีชีวิตอยู่นั้น มันโชคดีที่มีเจ้าของที่รักมันขนาดไหน ตายไปก็มีคนร้องไห้เสียใจ ทำบุญให้ อย่างที่เรากำลังขับรถไปทำกัน มันก็อาจจะคิดเหมือนกันกับที่เพื่อนผมคนนี้เพิ่งคิดก็ได้นะว่า
“ชีวิต ไม่ยุติธรรม เลย”
ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าเราคาดหวังความ “ยุติธรรม” จากใครในทุก ๆ ครั้งที่เราตัดพ้อกับตัวเองแบบนี้ แต่ถ้าให้เดาก็คงหนีไม่พ้นใครซักคนข้างบนฟ้า ซึ่งจริง ๆ แล้วผมว่าท่านก็ “ยุติธรรม” นะ
“ยุติธรรม” ที่ทำให้ทุกคนได้มีโอกาสเผชิญหน้ากับความรู้สึก “ไม่ยุติธรรม” อย่างเท่าเทียมกันไงครับ
ไฟเขียวพอดี…..
--
ติดตามบทความใหม่ ๆ จาก อั๋น ภูวนาท ได้ทุกวันจันทร์ บน LINE TODAY