เหตุระเบิดรุนแรงสองครั้งซ้อน ที่เขย่ากรุงเบรุต เมืองหลวงของเลบานอน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 73 ราย และผู้บาดเจ็บมากกว่า 3,000 รายแล้ว
เหตุระเบิดครั้งนี้เกิดขึ้นที่ท่าเรือเบรุต เมื่อประมาณ 18.10 น. ของวันอังคาร (4 ส.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น แรงระเบิดทำให้อาคารทั่วทั้งเมืองสั่นสะเทือน มีผู้บาดเจ็บล้มตายและสร้างความเสียหายร้ายแรง โดยคาดว่าจำนวนผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจะยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้านสื่อท้องถิ่นทยอยประกาศรายชื่อผู้สูญหายนับร้อยเพื่อช่วยหลายครอบครัวตามหาบุคคลอันเป็นที่รัก
ส่วนสาเหตุของการระเบิดยังคงไม่แน่ชัด แต่โมฮัมหมัด ฟาห์มี รัฐมนตรีกระทรวงกิจการภายในของเลบานอน กล่าวว่าโกดังเก็บสารระเบิดที่ท่าเรือเบรุตอาจเป็นต้นตอหลัก โดย “ศุลกากรจะต้องถูกสอบสวนถึงเหตุผลในการเก็บสะสมสารเคมีชนิดนี้ที่ท่าเรือเบรุต” ส่วนการสืบสวนสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายใน 5 วัน
ฮัสซัน ดิอับ นายกรัฐมนตรีเลบานอน ประกาศให้ทั่วประเทศแสดงการไว้ทุกข์ในวันพุธ (5 ส.ค.) ขณะเดียวกันเรียกร้องมิตรประเทศช่วยเหลือเลบานอนก้าวข้ามผลกระทบจากหายนะครั้งนี้
ด้านมิเชล อูน ประธานาธิบดีเลบานอน สั่งประชุมสภาป้องกันสูงสุด (Higher Defense Council) ของประเทศโดยทันที และประกาศให้เบรุตเป็นเมืองที่กำลังเผชิญหายนะ พร้อมกระตุ้นคณะรัฐมนตรีเลบานอนประกาศภาวะฉุกเฉินในเบรุตเป็นเวลา 2 สัปดาห์
สภาฯ ยังเรียกร้องคณะรัฐมนตรีจัดสรรเงินทุนไปยังโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อช่วยเหลือการรักษาผู้บาดเจ็บ และขอให้ติดต่อมิตรประเทศทั้งหมดเพื่อขอความช่วยเหลือ รวมถึงจัดตั้งกองทุนเพื่อชดเชยให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิด
นอกจากนั้นสภาฯ แนะนำให้จัดที่พักอาศัยชั่วคราวในโรงเรียนให้กับครอบครัวที่บ้านเรือนพังทลาย พร้อมนำเข้ากระจกและควบคุมราคาวัสดุทุกประเภทที่จำเป็นต่อการซ่อมแซมบ้านเรือนที่เสียหายด้วย
ดิอับยืนยันว่าผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบภัยพิบัติครั้งนี้จะต้องถูกลงโทษ และชี้ว่าการเก็บสะสมแอมโมเนียไนเตรต (Ammonium nitrate) ที่เป็นสารระเบิดปริมาณมากถึง 2,700 ตัน เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ เนื่องจากทำให้ชีวิตของประชาชนต้องตกอยู่ใต้ความเสี่ยงสูงสุด
อนึ่ง คณะรัฐมนตรีเลบานอนจะจัดประชุมในวันพุธ (5 ส.ค.) เพื่อพิจารณาข้อเสนอของสภาฯ และประกาศมาตรการใหม่เพื่อรับมือวิกฤตล่าสุด
หลายประเทศได้แสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวและเห็นอกเห็นใจเลบานอน เนื่องจากเหตุระเบิดได้ซ้ำเติมปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) และวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศ
อัล-จาดีดทีวี รายงานว่าอิรักและกาตาร์จะส่งโรงพยาบาลสนามมายังเลบานอนในวันพุธ (5 ส.ค.) ขณะที่เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับอูน และสัญญาว่าจะส่งความช่วยเหลือให้เลบานอนในวันพุธ (5 ส.ค.) เช่นกัน
ด้านโมฮัมหมัด จาวาด ซารีฟ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของอิหร่าน แสดงความเห็นใจผ่านทวิตเตอร์เมื่อวันอังคาร (4 ส.ค.) ว่าอิหร่านพร้อมให้ความช่วยเหลือเลบานอน โดยเขาเผยว่า “เราขอสวดภาวนาให้ชาวเลบานอนผู้ยิ่งใหญ่ อิหร่านพร้อมให้ความช่วยเหลือทุกทางที่จำเป็นดังเคย เลบานอนจงเข้มแข็งเข้าไว้”
อับบาส มูซาวี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของอิหร่าน ได้แสดงความเห็นใจรัฐบาลและประชาชนชาวเลบานอน โดยแถลงการณ์ของมูซาวีระบุว่าอิหร่านติดตามข่าวเหตุระเบิดด้วยความ “เศร้าใจอย่างสุดซึ้ง” และ “แสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับประชาชนและรัฐบาลของเลบานอนในช่วงเวลายากลำบากนี้”
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของตุรกี ได้แสดงความเสียใจต่อเหตุระเบิดครั้งใหญ่ในเลบานอนที่ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตมากมาย รวมถึงเผยว่ามีชาวตุรกีสองรายได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากเหตุการณ์นี้
“เราขอให้พระเจ้าทรงเมตตาผู้เสียชีวิตในเหตุระเบิดและเยียวยาผู้บาดเจ็บโดยเร็ว และขอแสดงความเสียใจกับประชาชน พี่น้องและผองเพื่อนชาวเลบานอน” แถลงการณ์จากกระทรวงการต่างประเทศของตุรกีระบุ
ฝ่ายอับเดล-ฟัตตาห์ อัล-ซีซี ประธานาธิบดีอียิปต์ แสดงความเสียใจและขอให้ผู้บาดเจ็บหายดีในเร็ววัน โดยระบุว่า “ข้าพเจ้าขอแสดงความเสียใจและความเห็นใจแก่รัฐบาลและประชาชนชาวเลบานอน ผู้ประสบโศกนาฏกรรมระเบิดในกรุงเบรุต เมืองหลวงของเลบานอน”
มาห์มูด อับบาส ประธานาธิบดีปาเลสไตน์ กล่าวว่าปาเลสไตน์พร้อมให้ความช่วยเหลือทุกทางเท่าที่จะทำได้ เพื่อช่วยให้เลบานอนฟื้นตัวจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้ พร้อมทั้งขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เคราะห์ร้ายด้วย ส่วนโมฮัมหมัด ชาตีย์ นายกรัฐมนตรีปาเลสไตน์ แถลงข่าวว่าปาเลสไตน์ “พร้อมช่วยเหลือเลบานอนอย่างสุดความสามารถ”
ฮานาน อัชราวี สมาชิกคณะกรรมการบริหารองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (PLO) แสดงความเสียใจต่อ “โศกนาฏกรรมทำลายล้าง” และขอให้ชาวเบรุตก้าวพ้นมหันตภัยครั้งนี้
ขณะเดียวกันที่ฉนวนกาซา อิสมาอิล ฮานิเยห์ หัวหน้ากลุ่มความเคลื่อนไหวอิสลามฮามาส ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับมิเชล อูน ประธานาธิบดีเลบานอน เพื่อแสดงการสนับสนุนท่ามกลางสถานการณ์อันเลวร้าย