เราดีใจที่ประเทศไทยไม่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศมาเป็นเวลากว่า 2 เดือน ทำให้คนในประเทศสบายใจ ใช้ชีวิตแบบไม่หวาดผวาเหมือนระยะแรกๆ แม้ทุกวันนี้ยังต้องใส่หน้ากากยามออกนอกบ้าน แต่ก็ถือว่าเป็นมาตรฐานชีวิตใหม่ที่ดูเหมือนคนส่วนใหญ่ยอมรับอย่างสมัครใจ
แต่ถ้าจะให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศเป็นศูนย์ โดยต้องปิดประเทศแบบไม่มีกำหนด ควบคุมคนต่างชาติเข้าประเทศแล้วเป็นอุปสรรคต่อการค้าขาย การลงทุน การท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจเป็นลูกโซ่ให้คนจำนวนมากทำมาหากินไม่ได้ พนักงานและลูกจ้างต้องตกงานกันเป็นล้านๆ คนจะคุ้มค่าหรือไม่
ถามว่าจะมีประโยชน์กับเลขศูนย์ที่เอาไว้อวดชาวโลกจนได้รับการยกย่องว่าเก่งเป็นที่ 1 แต่เศรษฐกิจกำลังดิ่งเหว คุณภาพชีวิตคนในชาติกำลังตกต่ำลงทุกวัน เพราะไม่มีจะกิน หรือธุรกิจเจ๊งจนต้องฆ่าตัวตายเพราะความเครียด
สถาบันต่างประเทศหลายสำนักเคยประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจไทยตรงกันข้อหนึ่งว่า ไทยควบคุมโรคได้ดี แต่จะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจหนักที่สุดในกลุ่มอาเซียน ธนาคารโลกเคยประเมินว่าไทยจะรั้งท้ายอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เหนือกว่า “ฟิจิ” ประเทศที่เป็นหมู่เกาะเล็กๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกที่มีประชากรไม่ถึง 1 ล้านคน
เราเข้าใจว่าระยะแรกของการแพร่ระบาดต้องทำให้ประชาชนตื่นตัว เพื่อให้เกิดความร่วมมือกับการควบคุมโรค แต่วันนี้เมื่อทำสำเร็จแล้ว สามารถผ่อนคลายได้แล้ว ฝ่ายสาธารณสุขจึงออกมาพูดว่าไม่จำเป็นต้องเป็นศูนย์ตลอดไป หากจะมีการติดเชื้อบ้างในระดับไม่เกิน 100 คน ระบบที่มีอยู่น่าจะสามารถรับมือได้
ความจริงคนไทยไม่เคยรังเกียจชาวต่างชาติ แต่กลัวโควิดระบาดรอบสองแล้วต้องล็อกดาวน์กันให้เดือดร้อนอีก การจะเปิดรับต่างชาติจึงต้องไม่มีเงื่อนไขบุคคลวีไอพีอย่างกรณีทหารอียิปต์หรือลูกทูตชาวซูดาน ทุกคน ทุกชาติ ต้องกักตัว 14 วัน ตามระเบียบ พร้อมกับต้องมีมาตรการติดตามตัวอย่างเข้มงวดรัดกุมตลอดเวลาที่อยู่ในไทย
ความเข้าใจตรงกันนี้เป็นที่มาของการผ่อนคลายระยะที่ 6 ที่จะเปิดให้ชาวต่างชาติ 4 กลุ่มเดินทางเข้าประเทศไทย ประกอบด้วย กลุ่มจัดงานแสดงสินค้า กลุ่มถ่ายทำภาพยนตร์ กลุ่มแรงงานต่างด้าว และกลุ่มที่เข้ามารักษาพยาบาลหรือเสริมความงาม
กลุ่มแรงงานต่างด้าวจากลาว กัมพูชา เมียนมา ถือว่ามีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย ทั้งภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และบริการ เนื่องจากในภาวะปกติมีตัวเลขแรงงานต่างด้าวที่ถูกกฎหมายจำนวน 1.5 ล้านคน แต่หากนับรวมผิดกฎหมายอาจถึง 6 ล้านคน วันนี้ส่วนหนึ่งพยายามลักลอบกลับเข้าไทยเพราะอยู่บ้านตัวเองก็อดตาย ตัวเลขที่คาดว่ารัฐบาลเปิดให้เข้าเป็นทางการในระยะแรกคือ 1.5 หมื่นคน
นอกจากนี้ ในระยะต่อไปทราบว่าจะเริ่มทดลองรับนักท่องเที่ยวเข้าไทย โดยให้นำร่องเที่ยว 3 จังหวัด 5 เกาะ คือ จ.ภูเก็ต เกาะพีพี จ.กระบี่ และเกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี
เรื่องการกักตัวใน State Quarantine เป็นประเด็นที่รัฐต้องชี้แจงให้กระจ่าง เพราะเคยมีปัญหามาหลายรอบและมักจะตอบสังคมอย่างคลุมเครือ โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่ายว่าเมื่อเป็นต่างชาติต้องการเข้ามาจัดงาน มาถ่ายทำภาพยนตร์ มาทำงาน มารักษาพยาบาล คนต่างชาติต้องออกค่าใช้จ่ายใช่ไหม และเก็บหัวละเท่าไร
ก่อนหน้านี้ยังจำได้ว่าสถานที่รัฐจัดให้ ซึ่งมีโรงแรมต่างๆ มาเข้าร่วมโครงการนั้น รัฐบาลจ่ายเหมาวันละ 1,000 บาท รวมอาหาร 3 มื้อ กักตัว 14 วัน รวมเป็นเงิน 1.4 หมื่นบาท/คน
ที่ผ่านมามีคนไทยที่เป็นแรงงาน นักศึกษา นักธุรกิจ นักการทูตต่างชาติ เข้ารับการกักตัวหลายหมื่นคน คิดเป็นค่าใช้จ่ายหลายร้อยล้านบาท จึงมีข่าวแก๊งไอ้โม่งวิ่งติดต่อโรงแรมขอกินค่าหัวคิว แลกกับการเอาเข้าร่วมเป็น State Quarantine ซึ่งวันนี้เรื่องได้เงียบหายไปกับสายลม
ล่าสุด มีเสียงแว่วว่ามีคนเรียกเก็บค่ากักตัวหัวละ 5 หมื่นบาท สงสัยว่านอนหรูกินอร่อยในโรงแรมระดับไหน และแก๊งไอ้โม่งจะย้อนกลับมาใหม่พร้อมกับเฟส 6 หรือไม่