“หนึ่งในเรื่องแปลกประหลาดและน่าเศร้าที่สุดของความผิดปกติในมนุษย์คือเรื่องราวของเอ็ดเวิร์ด มอร์เดรก กล่าวกันว่าเขาเป็นทายาทตระกูลขุนนางชั้นสูงในอังกฤษที่ไม่เคยได้รับตำแหน่งและกระทำการฆ่าตัวตายไปตอนอายุแค่ 23 ปี เอ็ดเวิร์ดมีชีวิตสันโดษ เขาไม่รับแขกและแทบไม่ยอมพบสมาชิกในครอบครัว เขาเป็นหนุ่มรูปงามที่มีความสามารถทั้งด้านวิชาการและดนตรี ที่น่าประหลาด คือเอ็ดเวิร์ดนั้นมีใบหน้าที่สองซ่อนอยู่ด้านหลัง เป็นใบหน้าของหญิงสาวที่ ‘สวยงามเหมือนความฝัน แต่เลวร้ายเหมือนปีศาจ’ ใบหน้าของหญิงสาวปรากฎเลือนลางเหมือนหน้ากาก กินพื้นที่ไม่มากคือเพียงส่วนเล็กๆ ของกะโหลกด้านหลัง ถึงอย่างนั้นใบหน้าของหญิงสาวก็มีความฉลาดอย่างน่ากลัว เธอหัวเราะในขณะที่เอ็ดเวิร์ดร้องไห้ ดวงตาของเธอขยับตามความเคลื่อนไหวของบุคคนรอบๆ ตัว ปากของเธอขยับอยู่เสมอ คล้ายจะกระซิบเรื่องราวที่ไม่มีใครได้ยินเสียง
เอ็ดเวิร์ดกล่าวว่า ‘แฝดปีศาจ’ ของเขานั้น ‘ไม่เคยหลับ’ และเอาแต่ ‘กระซิบเรื่องราวจากนรก’ ให้เขาฟังในทุกค่ำคืน เอ็ดเวิร์ดของร้องให้หมอของเขากำจัดใบหน้าของหญิงสาว แม้มันจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของเขาเองก็ตาม ไม่มีใครกล้าทำการผ่าตัดแสนอันตรายนี้ เอ็ดเวิร์ดปลิดชีพตัวเองด้วยยาพิษ ก่อนตายเขาได้ทิ้งจดหมาย ‘โปรดทำลายใบหน้าปีศาจนี้เสีย อย่าให้มันถูกฝังไปพร้อมผม ไม่อย่างนั้นมันคงตามไปเล่าเรื่องเลวร้ายให้ฟังถึงในหลุมศพ’ คำสั่งเสียของเขายังกล่วว่าให้ฝังศพของเขาในหลุมขยะ โดยไม่มีป้ายสุสานหรือการระบุตำแหน่ง”
เรื่องราวน่าเศร้าของชายหนุ่มนามเอ็ดเวิร์ด มอร์เดรก ถูกบอกล่าผ่านสารนุกรมว่าด้วยความผิดปกติและความแปลกประหลาดทางการแพทย์ปี 1896 (Anomalies and Curiosities of Medicine - 1896) เขียนโดย Dr. George M. Gould และ Dr. David L. Pyle สองผู้เขียนกล่าวว่าเรื่องราวสุดสยองถูกนำมาจาก ‘แหล่งที่มาอย่างไม่เป็นทางการ’ แต่ ‘เป็นที่โด่งดังและได้รับความสนใจมากพอให้นำมาเล่าต่อในหนังสือ’ หน้งสือของทั้งสองยังมีการถกเถียงในประเด็นความผิดปกติอื่นๆ ที่คล้ายกัน และมีการอภิปรายความเป็นไปได้ว่าเรื่องราวที่ยกมานั้นอาจไม่เป็นความจริง
เรื่องเล่าของเอ็ดเวิร์ดได้รับความสนใจและกลายเป็นที่ถกเถียง มีการนำเรื่องราวที่ว่ามาตีพิมพ์ใหม่โดยเพิ่มข้อสังเกตอีกหลายครั้ง หนึ่งในนั้นคือการตีพิมพ์บทความในหนังสือวารสารประวัติศาสตร์ทางการแพทย์ในปี 1958 โดยมีการกล่าวถึงกรณีของเอ็ดเวิร์ดว่า “หากเรื่องนี้เป็นความจริง ก็ควรมีการเปิดเผยแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ หากผู้อ่านท่านไหนมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเคสนี้ สามารถติดต่อมายังสำนักพิมพ์ได้”
หลายท่านยังตั้งข้อสงสัยว่า ใบหน้าที่สองของเอ็ดเวิร์ดจะสามารถคิดและพูดเองได้อย่างไรหากไม่ได้มีสมองเป็นของตัวเอง? มีคนสืบหาตัวตนของเอ็ดเวิร์ด และพบว่าเขาไม่มีทั้งทะเบียนการเกิดและการตายในอังกฤษ (ซึ่งเป็นเรื่องประหลาดหากเอ็ดเวิร์ด เป็นทายาทตระกูลขุนนางชั้นสูงซึ่งมักมีการบันทึกการเกิดและตายไว้อย่างเป็นระบบ)
Alex Boese นักประวัติศาสตร์การแพทย์ทำการสืบสวนกรณีนี้ และพบว่าเรื่องราวที่ถูกนำมาตีพิมพ์ในปี 1896 อันที่จริงแล้วถูกลอกเลียนมาจากบทความในหนังสือพิมพ์ Boston Post ซึ่งถูกตีพิมพ์ในปี 1895 - หนึ่งปีก่อนการตีพิมพ์สารานุกรมทางการแพทย์ ชื่อของผู้เขียนบทความคือ Charles Lotin Hildreth เขาเป็นนักเขียนนิยายแนวพิศวงที่เคยปล่อยบทความ “มนุษย์ประหลาด” อีกหลายเรื่อง ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิงที่มีหางเหมือนปลา ชายที่มีรูปร่างเหมือนแมงมุม และชายครึ่งคนครึ่งปู Hildreth เขียนอ้างอิงในบทความของเขาว่า นำข้อมูลมาจากรายงานลับของสมาคมวิทยาศาสตร์ (Royal Scientific Society) ซึ่งไม่แน่ใจว่ามีจริงหรือไม่ เป็นไปได้ว่าหนังสือพิมพ์ไม่ได้สนใจสืบหาความถูกต้องของบทความ และมองว่าการลงเรื่องประหลาดโดยให้ผู้อ่านคิดไปเองว่าเป็นความจริงอาจดึงความสนใจได้มากกว่า ดังนั้นที่มาของเรื่องนี้จึงยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัด
ภาพถ่ายที่อ้างว่าเป็นของเอ็ดเวิร์ด มอร์เดรก สามารถสืบย้อนไปได้ถึงช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ยังมีข้อถกเถียงว่าอาจถูกทำจำลองขึ้นจากขี้ผึ้ง ในขณะที่ส่วนหัวจำลองที่โด่งดังของเอ็ดเวิร์ด ถูกทำขึ้นโดยใช้วิธี papier-mâché
เรื่องราวที่กลายเป็นตำนานของชายผู้มีสองหน้าถูกเล่าซ้ำหลายครั้งทั้งในเวทีวรรณกรรมและภาพยนต์ ซีรีส์ชื่อดัง American Horror Story เคยนำเรื่องของเอ็ดเวิร์ด มอร์เดรก มาตีความใหม่ในซีซั่นที่ 4 - Freak Show วงดนตรีเมทัลของแคนาดา - Viathyn แต่งเพลงโดยใช้ชื่อว่า Edward Mordrake ในปี 2014 และวงดนตรีสาวชาวไอริช ก็เคยแต่งเพลงโดยมีเนื้อร้องว่า "It's like a hat for Ed Mordake" เพลงของพวกเธอเพิ่งถูกปล่อยในท้องตลาดเมื่อปี 2019
ในทางวิทยาศาสตร์แฝดที่มีส่วนของร่างกายติดกันเป็นเคสที่พบได้ยาก โดยคิดเป็น 1 ต่อการเกิด 2.5 ล้านครั้ง ส่วนแฝดที่มีส่วนของศีรษะติดกัน มีโอกาสเกิดขึ้นเพียง 2-6% จากบรรดาแฝดร่างกายติดกันทั้งหมด หนึ่งในบันทึกทางวิทยาศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดกล่าวถึงการค้นพบแฝดแบบนี้ในเด็กชายที่อาศัยอยู่ในรัฐเบงกอลของประเทศอินเดีย เรียกกันว่า "Two-Headed Boy of Bengal" บันทึกกล่าวเพียงว่าเด็กชายคนนี้เกิดในปี 1783 และเสียชีวิตจากการถูกงูกัดในปี 1787 ปัจจุบันมีบันทึกทางการแพทย์กล่าวถึงแฝดศีรษะติดกันเพียง 35 เคส ทั่วโลก
.
ติดตามบทความของเพจพื้นที่ให้เล่า ได้บน LINE TODAY ทุกวันเสาร์
.
ขอบคุณข้อมูลจาก
