"แม่กอดฉันและบอกว่าเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขากำลังจะพาเราไปที่ไหน และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น"
นี่คือเหตุการณ์พลิกผันที่เปลี่ยนชีวิตของ อีดิธ อีเจอร์ เด็กสาวชาวฮังกาเรียนในวัย 16 ย้อนกลับไปในปีค.ศ. 1944 มันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายของชาวยิวที่กำลังถูกกวาดล้างโดยทหารนาซี ภายใต้การปกครองของฮิตเลอร์ เธอและครอบครัวตกเป็นเหยื่อที่ถูกส่งไปยังค่ายกักกันเอาชวิตซ์ในโปแลนด์หลังที่ถูกจับกุมทันที
เคราะห์ร้ายที่ทั้งพ่อและแม่ของอีดิธถูกส่งเข้าห้องรมแก๊สและเสียชีวิตภายในไม่กี่วันในค่ายมรณะแห่งนี้ แต่ตัวเธอเองได้จำคำสอนของแม่ที่บอกว่า 'คนอาจจะพรากสิ่งของนอกกายจากเราไปได้ สติปัญญาคือสิ่งหนึ่งที่พวกเขาจะเอาไปไม่ได้'
Dr. Edith Eger had to dance for Dr Mengele at age 16. She survived Auschwitz and moved to the US where she became a…
โพสต์โดย BrightVibes เมื่อ วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2018
อีดิธพึ่งความฉลาด ความกล้าหาญ และโชคที่มีอยู่แทบน้อยนิด พาเธอออกมาจากสถานที่อันแสนโหดร้ายนั้นได้ เธอเรียนรู้ที่จะให้และแบ่งปัน ซึ่ง 'การให้' กลายเป็นการกระทำสำคัญที่ทำให้เธอรอดชีวิตมาได้ อีดิธเล่าว่า "ฉันถูกบังคับให้เต้นบัลเล่ต์ให้กับหมอในค่ายดู ฉันหลับตาและจินตนาการถึงบทเพลงที่แสนสวยงาม พอเต้นเสร็จ หมอก็ให้ขนมปังมาหนึ่งก้อน ฉันเลยเอาไปแบ่งกับเด็กคนอื่น ๆ
หลังจากนั้นจะมีวันที่เราต้องเดินสวนสนามในค่าย ถ้าใครหยุดจะถูกยิง ฉันรู้ตัวเองแล้วว่าไปต่อไม่ไหว ฉันต้องโดนยิงทิ้งแน่ ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าเด็กผู้หญิงที่ฉันเคยแบ่งขนมปังให้ พวกเธอเดินมาพยุงฉันให้เดินต่อไปได้ พวกเธอสุดยอดไปเลยไหมล่ะ มันทำให้ฉันรู้เลยว่าในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดนี้ก็มีสิ่งที่วิเศษซ่อนอยู่"
โพสต์ที่แชร์โดย Dr. Edith Eger (@dr.editheger) เมื่อ เม.ย. 20, 2020 เวลา 4:05pm PDT
1 ปีในนรกจบลงพร้อมกับสงครามโลก อีดิธย้ายไปตั้งถิ่นฐานและเริ่มชีวิตใหม่ที่สหรัฐอเมริกา เธอใช้ประสบการณ์แสนโหดในการเป็นแรงผลักดันให้ตัวเองกลายมาเป็นนักจิตบำบัด อีดิธเริ่มเรียนต่อในด้านนี้ตอนอายุ 40 ปีและเริ่มรักษาเพื่อช่วยเหลือคนที่มีปัญหาในครอบครัว ถูกสามีทำร้าย คนที่ป่วยเป็นโรคเอดส์ รวมไปถึงบุคคลที่ผ่านสงครามกลับบ้านมา
"ฉันเจอกับภรรยาและเด็กน้อยที่ถูกคนในบ้านตัวเองทำร้าย แล้วก็คิดว่าพวกเขาอยู่ในสภาพที่แย่กว่าค่ายในเอาชวิตซ์ซะอีก ฉันบอกกับพวกเขาเสมอว่าสักวันหนึ่งพวกเธอจะสามารถเดินออกมาจาก 'ที่กักกัน' แห่งนี้ได้ เหมือนกับที่ฉันเคยทำ" อีดิธบอก
สำหรับผู้รอดชีวิตจากสงครามและค่ายกักกันที่เธอได้มีโอกาสรักษา อีดิธบอกว่าพวกเขายังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความกลัว ไม่เชื่อในการให้อภัยเพราะเขาคิดว่ามันคือการลืมอดีตของตัวเอง แต่เธอกลับบอกว่า "Forgiveness is giving me a gift" การให้อภัยกับคนที่เคยทำร้ายเธอคือของขวัญที่ล้ำค่าเธอมอบให้ตัวเองต่างหาก เพราะนั่นทำให้นาซีไม่สามารถบงการชีวิตของเธอในตอนนี้ได้
โพสต์ที่แชร์โดย Dr. Edith Eger (@dr.editheger) เมื่อ มี.ค. 29, 2019 เวลา 6:13pm PDT
"ฉันอยากเป็นอิสระ มันไม่ได้หมายถึงว่าฉันลืมไปหรอกนะว่าพวกเขาทำอะไรไว้บ้าง แต่มันคือการยอมรับในความจริงและอยู่กับความจริงได้อย่างสงบสุข เราเลือกได้ว่าจะเป็น 'เหยื่อ' หรือ 'ผู้รอดชีวิต' จากเหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ในชีวิต"
ตอนนี้อีดิธอายุ 92 ปี เธอคือผู้รอดชีวิตเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก เธอคือนักจิตบำบัดที่ช่วยชีวิตคนนับพัน และในอายุ 90 นี้เองที่เธอได้กลายมาเป็นนักเขียนและนักสร้างแรงบันดาลใจอีกด้วย เรื่องราวของเธอทำให้เราไม่ลืมไปว่าไม่ว่าชีวิตจะเล่นตลกร้ายกับเราแค่ไหน สิ่งที่เราเลือกทำสามารถกำหนดทุกอย่างหลังจากนั้นได้เอง
อ้างอิง