เห็นหน้าค่าตากันแล้ว สำหรับรัฐมนตรีใหม่ของรัฐบาลลุงตู่
ที่จับตากันมากก็คือเก้าอี้รัฐมนตรีที่เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจ ทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน ที่เป็นประเด็นร้อนทางการเมือง ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวเขย่าเก้าอี้ ขนาดที่ว่าสร้างแรงสั่นสะเทือนถึงขั้นต้องปรับคณะรัฐมนตรีกันยกใหญ่
และใครที่เข้ามารับตำแหน่งในยามนี้ ต้องบอกว่าใจถึงมาก
สาเหตุเนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในขั้นน่าห่วง แม้จะมีการบอกว่าเศรษฐกิจถึงจุดต่ำสุดในไตรมาสที่ 2 แล้ว แต่ทว่าเงื่อนไขสำคัญคือการจ้างงาน คนตกงาน กิจการน้อยใหญ่ยังคงปิดตัว ทั้งหมดยังเป็นปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจ
ธุรกิจบริการ ไล่ตั้งแต่หัวขบวนคือการบินพาณิชย์ ไปถึงโรงแรม การท่องเที่ยว ยังไม่ฟื้น
นั่นหมายความว่า เม็ดเงินจากการท่องเที่ยว จากธุรกิจบริการที่เคยสร้างการจ้างงานมากสุดในระบบ ยังไม่กลับมา และต้องอาศัยเวลาอีกเป็นปี
รัฐมนตรีที่รับหน้าที่ดูแลเศรษฐกิจ จึงต้องลำบาก ร้อนรุ่มไปเรื่อยๆ
ยิ่งในรัฐบาลชุดใหม่ ดูไปแล้วเห็นทีจะพูดได้ว่า ไม่มีทีมเศรษฐกิจหลงเหลือ
ทีมเศรษฐกิจจำเป็นต้องประกอบด้วยกระทรวงเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง แต่ทว่ารัฐบาลชุดใหม่ อำนาจหน้าที่ของกระทรวงเศรษฐกิจเหล่านี้ถูกผ่าออกไปดูแลตามโควตาพรรคการเมือง
แต่รัฐมนตรีเศรษฐกิจที่เข้ามาใหม่ อาทิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ต่างก็มาในโควตานายกฯ ไม่มีหมู่ไม่มีพวกกับรัฐมนตรีที่มาจากสายพรรคการเมือง
การสอดประสาน การรู้เส้นทางความคิด การเสนอแลกเปลี่ยน การสร้างผลประโยชน์ด้านนโยบายร่วมกัน เห็นทีจะลำบากกว่าเดิม
ยิ่งเฉพาะมีตัวอย่างให้เห็นของ 4 กุมาร ที่เคยเป็นทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดก่อน ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงสภาพการไม่กลมกลืนของพรรคแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐ
รัฐมนตรีที่เข้ามาใหม่ จึงยากที่จะได้รับการสนับสนุนจาก สส.ของพรรคพลังประชารัฐ เอาเฉพาะไม่เข้าไปกดดัน สร้างปัญหาก็เป็นบุญโขอยู่แล้ว
คนหน้าใหม่จึงกลายเป็นกลุ่มโดดเดี่ยว เป็นผู้ที่น่าเห็นใจ มองไปก็มีกันอยู่ไม่กี่คน
มิหนำซ้ำ การบริหารนโยบายเศรษฐกิจของรัฐมนตรีมือใหม่ ต้องเจอกับระบบราชการไม่คุ้นชิน ต้องพบกับระบบเกียร์ว่าง อันเนื่องจากการไม่มั่นใจว่า รัฐมนตรีที่เข้ามาเป็นนายในแต่ละกระทรวงจะอยู่กันได้นานแค่ไหน
ปลอดภัยไว้ก่อน ไม่ทำอะไรที่เสี่ยง ทั้งข้อกฎหมาย เสี่ยงทั้งตำแหน่ง จึงเป็นสิ่งที่ปลอดภัยของระบบราชการในช่วงต่อไป
เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยจริงๆ สำหรับการบริหารนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ทั้งสภาพเศรษฐกิจโดยรวมยังไม่เป็นใจ ทั้งระบบโครงสร้างทางการเมืองที่ไม่สนับสนุน ทั้งระบบราชการที่ไม่เอื้ออำนวยให้อย่างเต็มที่
บรรดาคนใจถึงทั้งหลายที่เข้าร่วมรัฐบาล มาดูแลเศรษฐกิจ จึงเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญ
ต้นทุนที่แต่ละคนสร้างมาตลอดชีวิต ได้เอามาวางไว้ในตำแหน่งเสนาบดีเสียแล้ว
จะบริหารเศรษฐกิจประเภทใจถึง เดินหน้า สู้กับโควิด กับมรสุมเศรษฐกิจชนิดตายเป็นตาย เห็นทีจะเป็นเรื่องที่ไกลเกินฝัน ทำได้ยากเต็มทน
เปิดศักราชรัฐบาลใหม่ จึงกลายเป็นช่วงเปิดเทอมใหม่ทางการเมือง ที่หัวใจว้าวุ่นโดยแท้
คงต้องเฝ้ารอดูว่ารัฐมนตรีแต่ละคนจะเดินหน้าฝ่าฟันสารพัดปัญหาได้อย่างไร