โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

วังหน้า “พระยาเสือ” เมื่อต้องโค่นพระเจ้าตาก ขุนศึกที่พระเจ้าตากโปรดปรานทำอะไรบ้าง?

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 28 มิ.ย. 2564 เวลา 04.47 น. • เผยแพร่ 28 มิ.ย. 2564 เวลา 04.46 น.
1

กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท หรือวังหน้า“พระยาเสือ” ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงมีบทบาทสำคัญต่อบ้านเมืองนี้อย่างยิ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในแผ่นดินของใคร จนเป็นที่ยอมรับว่าทรงเป็น“นักรบ” คนสำคัญพระองค์หนึ่งในแผ่นดินกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์

เมื่อครั้งยังกินตำแหน่งเจ้าพระยาสุรสีห์ ในแผ่นดินกรุงธนบุรี ถือเป็น“ข้าหลวงเดิม” ที่พระเจ้าตากทรงโปรดปรานมากที่สุดคนหนึ่ง ท่านผู้นี้เป็นขุนศึกคู่บัลลังก์รบเคียงคู่กับพระเจ้าตากมาตั้งแต่ศึกกู้แผ่นดินหลังกรุงศรีอยุธยาแตก โดยมีความก้าวหน้าในราชการเป็นลำดับ คือ เมื่อแรกถวายตัวร่วมรบกับพระเจ้าตาก ได้เป็นที่พระมหามนตรี เจ้ากรมตำรวจ แล้วเลื่อนเป็นพระยาอนุชิตราชา พระยายมราช และกินตำแหน่งเจ้าพระยาสุรสีห์ สำเร็จราชการเมืองพิษณุโลก เมืองชั้นเอกของหัวเมืองฝ่ายเหนือ เป็นตำแหน่งสุดท้าย

ตลอดรัชสมัยพระเจ้าตาก ได้เป็นแม่ทัพสู้ศึกสำคัญมิได้ขาด และเป็นบุคคลหนึ่งที่พระเจ้าตากทรงรักจน“ฆ่าไม่ลง” ดังที่ปรากฏความโดยพิสดารในหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ โดยสังเขปดังนี้

คืนหนึ่งพระเจ้าตากทรงนั่งพระกรรมฐานที่พระตำหนักแพ โดยมีสมเด็จพระวันรัตน(ทองอยู่) นั่งกำกับเป็นประธาน เวลานั้นเจ้าพระยาสุรสีห์ข้ามฟากมาจากบ้านประสงค์จะเข้าเฝ้า เจ้าพนักงานที่ล้อมวงรักษาการอยู่ เห็นเข้าจึงร้องห้ามมิให้เฝ้าเพราะทรงนั่งพระกรรมฐานอยู่ ฝ่ายพระยาพิทักษภูบาล จางวางรักษาพระองค์ ก็ได้โบกมือให้ออกไปเสีย แต่เจ้าพระยาสุรสีห์เข้าใจผิดคิดว่ากวักมือเรียก จึงค่อยย่องเข้าไป สมเด็จพระวันรัตน(ทองอยู่) แลเห็นเข้าก็ถวายพระพรว่า เจ้าพระยาสุรสีห์ย่องเข้ามาจะทำร้ายพระองค์เป็นแน่ พระเจ้าตากลุกกระโดดเข้าจับตัวเจ้าพระยาสุรสีห์ไว้ได้โดยฉับไว แต่เมื่อค้นตัวดูไม่พบอาวุธซ่อนอยู่ จึงมีพระราชดำรัสถามว่า“เหตุใดจึ่งย่องเข้ามาในที่ห้าม จะเปนกระบถฤา”

เจ้าพระยาสุรสีห์จึงกราบทูลว่าพระยาพิทักษภูบาลกวักมือให้เข้ามา ฝ่ายพระยาพิทักษภูบาลก็แก้ว่าไม่ได้กวักมือเรียก แต่โบกมือให้ออกไป พระเจ้าตากจึงมีพระราชดำรัสว่า ตัวเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ย่อมรู้กฎหมายข้อห้ามดี เมื่อทำผิดเช่นนี้จะว่าอย่างไร เจ้าพระยาสุรสีห์จึงกราบทูลว่า โทษนี้ต้องริบราชบาตร เฆี่ยน ๙๐ ที แล้วประหารชีวิตเสียไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป

พระเจ้าตากได้ทรงฟังก็สังเวชพระทัย“กลั้นน้ำพระเนตรไว้ไม่ได้” ทรงกันแสงแล้วตรัสว่า ปรับโทษหนักเกินไป“ข้าได้สัญญาไว้กับเจ้าเมื่อเจ้ารับแม่ของข้ามาให้แก่ข้านั้น ข้าว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้า” ให้ปรับโทษให้เบาลง เจ้าพระยาสุรสีห์จึงกราบทูลว่า เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ไม่ประหารชีวิต ก็ต้องลงพระราชอาญาเฆี่ยน 60 ที แล้วจำคุกไว้จนตาย

พระเจ้าตากจึงมีพระราชดำรัสอีกว่า หากจำคุกจนตายข้าจะได้ใครใช้เล่า พี่เจ้าคนเดียวไม่ภอใช้” ให้ปรับใหม่เบาลงอีก เจ้าพระยาสุรสีห์กราบทูลว่า ถ้าเช่นนั้นให้เฆี่ยน 60 ที แล้วถอดเป็นไพร่ พระเจ้าตากทรงไม่ยอมอีก มีพระราชดำรัสว่า“เปนไพร่ เข้าใกล้พระเจ้าแผ่นดินไม่ได้ ข้าจะปรึกษาหาฤากับใครเล่า”เจ้าพระยาสุรสีห์จึงกราบทูลว่า ให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยน 60 ที แล้วอยู่ในตำแหน่งเดิม พระเจ้าตากก็ทรงพอพระทัยพ่อชอบใจแล้ว เรื่องจึงยุติลง

จะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์“ส่วนตัว” ระหว่างพระเจ้าตากกับเจ้าพระยาสุรสีห์นั้น“ไม่ธรรมดา” รวมไปถึงความไว้วางใจในข้อราชการที่ทรงตั้งให้“กินเมือง” พิษณุโลกซึ่งเป็นเมืองสำคัญระดับเมืองลูกหลวง คุมยุทธศาสตร์หัวเมืองฝ่ายเหนือมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ก็ถือว่าเป็นความไว้วางใจแบบ“ไม่ธรรมดา” เช่นกัน

จนเมื่อแผ่นดินกรุงธนบุรีเป็นกลียุค บทบาทของเจ้าพระยาสุรสีห์ถูกผลักให้ต้องมาอยู่ตรงกลางระหว่าง“เจ้าเหนือหัว” กับ“พี่ชาย” ผู้ยิ่งใหญ่กว่าท้าวพระยาข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งปวง ความเคลื่อนไหวของผู้สำเร็จราชการเมืองพิษณุโลกเมื่อเกิดเหตุรัฐประหารกรุงธนบุรี ปรากฏอยู่แล้วในพระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ ทั้งที่มีเนื้อความตรงกันและแตกต่างกัน ซึ่งจะเป็นหลักฐานสำคัญในการตรวจสอบ“ท่าที” ของเจ้าพระยาสุรสีห์ที่มีต่อเหตุการณ์นี้

จุดกำเนิดอวสานกรุงธนบุรี จับความได้เมื่อเกิดเหตุกบฏขึ้นที่กรุงกัมพูชา พระเจ้าตากจึงมีพระราชดำรัสให้แม่ทัพนายกองผู้ใหญ่ตระเตรียมทัพยกไปปราบกบฏ ณ กรุงกัมพูชา มีเจ้าพระยาจักรีเป็นแม่ทัพใหญ่ เจ้าพระยาสุรสีห์เป็นทัพหน้า พระเจ้าลูกเธอ กรมขุนอินทรพิทักษ์และพระยากำแหงสงครามอดีตเจ้าเมืองนครราชสีมาเป็นกองหนุน(เอกสารบางฉบับว่ากรมขุนอินทรพิทักษ์เป็นแม่ทัพใหญ่) พระยานครสวรรค์เป็นยกกระบัตรทัพ พระเจ้าหลานเธอ กรมขุนรามภูเบศเป็นทัพหลัง พระยาธรรมาเป็นกองลำเลียง ทั้ง 6 ทัพรวมพล 10,000 นาย

การตระเตรียมทัพครั้งนี้เริ่มต้นตั้งแต่ เดือนยี่ ปีชวด เมื่อข่าวกบฏกรุงกัมพูชาแจ้งมาถึงพระเจ้าตาก กำลังพล 10,000 นาย จัดกระบวนทัพอยู่ที่เมืองนครราชสีมา ซึ่งขณะนั้นมีพระยาสุริยอภัย หลานเจ้าพระยาจักรีเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองอยู่

หนึ่งปีถัดมา ในเดือนยี่ ปีฉลู จึงออกเดินทัพสู่กรุงกัมพูชา เป้าหมายคือตีเมืองพุทไธเพชรให้ได้ตามพระราชประสงค์ หากสำเร็จตามนี้ก็จะตั้งให้กรมขุนอินทรพิทักษ์ให้อยู่ครองกรุงกัมพูชาสืบไป

ถึงตอนนี้พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม) ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดในการวางกำลังทหารเข้ายึดกรุงกัมพูชาแต่พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขามีเนื้อความเล่าถึงตอนนี้ว่ากองทัพกรุงธนบุรีมีการจัดวางกำลังทัพอย่างไร

“เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกไปตั้งทัพใหญ่อยู่ ณ เมืองนครเสียมราบ ให้กองทัพเจ้าพระยาสุรสีห์ยกไปทางเมืองปัตบองฟากทะเลสาบข้างตะวันตก เอากองทัพเขมร พระยายมราช และพระยาพระเขมรทั้งปวงยกออกไปตีเมืองพุทไธเพชร ทัพพระเจ้าลูกเธอกรมขุนอินทรพิทักษ์และพระยากำแหงสงคราม ก็ยกหนุนออกไป และให้ทัพพระเจ้าหลานเธอกรมขุนรามภูเบศ และทัพพระยาธรรมายกไปทางฟากทะเลสาบฝ่ายตะวันออก ไปตั้งทัพอยู่ ณ เมืองกำพงสวาย”

การเดินทัพไปสู่จุดต่างๆ ในกรุงกัมพูชานั้น ใช่ว่านึกอยากจะไปจุดไหนตามแผนการรบก็ไปได้โดยสะดวก ตรงกันข้าม การไปสู่จุดหมายตามเนื้อความในพระราชพงศาวดารนั้นต้อง“ตีดะ” กับกองทัพฝ่ายตรงข้ามที่คอยต่อต้านอยู่

ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา กล่าวถึงการรุกรบของเจ้าพระยาสุรสีห์ในสนามรบว่า

“ฝ่ายเจ้าพระยาสุรสีห์ได้ยกทัพมาถึงเมืองกำปงสวาย ก็เข้าตีเมืองกำปงสวายและขับไล่กองทัพออกญาเดโช(แทน) ซึ่งตั้งรับอยู่ที่เนินปูเปล แตกหนีเข้าป่าไปสิ้น แล้วเจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพมาตั้งอยู่ที่เปียมจีกอง แลข้ามมาตั้งอยู่ที่ฝั่งตะวันออกแม่น้ำด้วย

องพอมา แม่ทัพญวน จึงจัดให้องกวางนัมกับออกญากะลาโหม(ปา) ยกทัพญวนแลเขมรไปตั้งรับทัพเจ้าพระยาสุรสีห์อยู่ที่เกาะอันแดด(เกาะลอย) แลจัดให้ออกญายมราช ชื่อปาง ยกทัพญวนเขมรไปตั้งรับทัพพระองค์เจ้าน้อย(กรมขุนอินทรพิทักษ์) ที่ปากคลองขุด ตั้งแต่เดือนยี่ จนถึงเดือนสี่ ปีฉลู”

พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม) ระบุไว้ชัดเจนว่า เดือนยี่ ปีฉลู กองทัพกรุงธนบุรีออกเดินทางเข้าสู่กรุงกัมพูชา สอดคล้องกับราชพงษาวดารกรุงกัมพูชาที่ว่าแม่ทัพญวนออกตั้งรับกองทัพกรุงธนบุรีตั้งแต่เดือนยี่เช่นกันหมายความว่าการรบในศึกครั้งนี้เกิดขึ้นแล้วตั้งแต่เดือนยี่จนถึงเดือน๔จะเห็นได้ว่าทั้งเจ้าพระยาสุรสีห์กรมขุนอินทรพิทักษ์และทัพอื่นๆรบบุกตะลุยสู่หัวใจของกรุงกัมพูชาตามคำสั่งพระเจ้าตาก

แต่เจ้าพระยาจักรีแม่ทัพใหญ่กลับมีท่าทีต่างออกไป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวิจารณ์ในเรื่องนี้ว่า“ดูเหมือนจะระแวงการข้างในอยู่มากแล้ว จึงได้รั้งรอไม่ดูจะทำการเดินออกเร็ว”

สอดคล้องกับพระราชพงศาวดารที่ว่า เจ้าพระยาจักรีออกคำสั่งยกทัพกลับไปยึดกรุงธนบุรีก่อนเดือน ๔ ซึ่งเป็นเดือนที่เริ่มเกิดกบฏพระยาสรรค์

แต่ก่อนเมื่อพระยาสรรค์ยังไม่เข้าตีกรุงธนบุรีนั้น ฝ่ายพระยาสุริยอภัยผู้ครองนครราชสีมาได้ทราบข่าวว่าแผ่นดินเป็นจลาจลมีคนขึ้นไปแจ้งเหตุ จึงออกไป ณ เมืองนครเสียมราบ แถลงการแผ่นดินซึ่งเกิดยุคเข็ญนั้นแก่เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกๆ จึงให้พระยาสุริยอภัยรีบยกกองทัพลงมายังกรุงธนบุรีก่อน แล้วจะยกทัพหลวงตามลงไปภายหลัง…”

และในเดือน 4 อีกเช่นกัน เจ้าพระยาจักรีก็ได้เจรจาความสงบศึกกับแม่ทัพญวน อ้างเหตุความไม่สงบในกรุงธนบุรี จากนั้นจึงมีคำสั่งเลิกทัพไปยังแนวหน้ารวมถึงกองทัพของเจ้าพระยาสุรสีห์

“ฝ่ายเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เมื่อให้พระยาสุริยอภัยมาแล้ว จึงแต่งหนังสือบอกข้อราชการแผ่นดินอันเป็นจลาจล*ให้คนสนิทถือไปแจ้งแก่เจ้าพระยาสุรสีห์ ซึ่งลงไปตั้งอยู่ ณ เมืองพนมเปญ ให้กองทัพเขมร พระยายมราช เข้าล้อมกรมขุนอินทรพิทักษ์ไว้อย่าให้รู้ความ แล้วให้รีบเลิกทัพกลับเข้ามา ณ กรุงโดยเร็ว แล้วให้บอกไปถึงพระยาธรรมาซึ่งตั้งทัพอยู่ ณ เมืองกำพงสวาย ให้จับกรมขุนรามภูเบศจำครบไว้ แล้วให้เลิกทัพตามเข้ามา ณ กรุงธนบุรี”*

เนื้อความตรงนี้นำไปสู่ปริศนาข้อใหญ่ที่ว่า หากเจ้าพระยาสุรสีห์“รู้เห็น” แผนการยึดกรุงธนบุรี ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นก่อนเดือน 4 นานแล้ว(ดูรายละเอียดเรื่องนี้ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนเมษายน 2550) เหตุใดจึงไม่“รั้งรอ” แต่กลับบุกตะลุยทำการ“รบจริง” ในดินแดนกรุงกัมพูชา และเหตุใดเจ้าพระยาจักรีจึงต้องสั่ง“เบรกทัพ” ให้เจ้าพระยาสุรสีห์เลิกทัพกลับบ้าน โดยอ้างเหตุ“แผ่นดินอันเป็นจลาจล” ทั้งที่กบฏพระยาสรรค์ยังไม่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่าคำสั่งเลิกทัพนี้เกิดขึ้นก่อนเจ้าพระยาจักรีเจรจาสงบศึกกับแม่ทัพญวน ดังนั้นคำสั่งการเข้าตีกรุงกัมพูชาจากพระเจ้าตากยังมีผลอยู่ การศึกของแม่ทัพต่างๆ รวมทั้งกรมขุนอินทรพิทักษ์จึงดำเนินต่อไปจนกระทั่งคำสั่งเลิกทัพนี้ตกมาถึง

บทบาทของเจ้าพระยาสุรสีห์ก่อนการยึดกรุงธนบุรี จึงน่าจะยังคงเป็นบทบาทของแม่ทัพหน้ากรุงธนบุรี กระทำการรบอันเป็นคำสั่งของพระเจ้าตาก จนกระทั่งมีคำสั่งเลิกทัพจากแม่ทัพใหญ่ให้ยกกลับมายังกรุงธนบุรี

ต่อมาหลังการยึดกรุงธนบุรีสำเร็จแล้วเจ้าพระยาสุรสีห์จึงรับบทนักฆ่า ในฐานะวังหน้าในแผ่นดินกรุงเทพฯ

เจ้าพระยาสุรสีห์ปรากฏตัวในพระราชพงศาวดารอีกครั้งหลังจากมีการยึดกรุงธนบุรีเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว 9 วัน และสถาปนาเป็น กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ในแผ่นดินใหม่

ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญตอนนี้คือเกิดความแตกต่างระหว่างพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม) ซึ่งถูกชำระใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 1 ซึ่งกรมพระราชวังบวรฯยังมีพระองค์อยู่กับพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาซึ่งถูกชำระใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 4

กล่าวคือ พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม) กล่าวถึงบทบาทของกรมพระราชวังบวรฯ อันเกี่ยวเนื่องกับการทำรัฐประหารไว้น้อยมาก มีเพียงการรับคำสั่งให้ยกทัพกลับกรุงธนบุรีเท่านั้น แต่พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ได้ปรากฏบทบาทของ“พระยาเสือ” ไว้หลายประการ โดยเฉพาะบทบาทของความดุร้ายหลังการรัฐประหาร

พระราชกรณียกิจแรกของ“วังหน้า” กรุงรัตนโกสินทร์ ตามที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาคือ สั่งฆ่าโจทก์เก่าของพระองค์ทันที 80 คน“ให้ตำรวจไปจับข้าราชการทั้งปวง บรรดาที่มีความผิดขุ่นเคืองกับพระองค์มาแต่ก่อน ให้ประหารชีวิตเสียทั้งสิ้นแปดสิบคนเศษ”

เรื่องนี้น่าสงสัยว่ากรมพระราชวังบวรฯ มีความขุ่นเคืองใดถึงต้องประหารชีวิตข้าราชการมากมายถึงเพียงนั้น ทั้งที่ทรงขึ้นไปรับราชการที่หัวเมืองฝ่ายเหนือตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุรัฐประหารนานถึง 12 ปี(จุลศักราช 1132-44) ในขณะที่ เจ้าพระยาจักรีประหารชีวิตเจ้านายขุนนางฝ่ายพระเจ้าตากในเหตุการณ์ครั้งนี้ไปเพียง 40 คน เท่านั้น

พระราชกรณียกิจลำดับต่อมา คือตามล่ากรมขุนอินทรพิทักษ์ ซึ่งก่อนหน้านี้ขณะมีคำสั่งเลิกทัพ ในคำสั่งนั้นรวมไปถึงการ“ล้อมกรมขุนอินทรพิทักษ์ไว้อย่าให้รู้ความ” ว่าจะมีการเลิกทัพเพื่อทำรัฐประหารพระเจ้าตาก โดยใช้กองทัพกัมพูชาซึ่งอยู่ฝ่ายกรุงธนบุรีจำนวน 3,000 นายล้อมไว้ การใช้กองทัพกัมพูชาชาวต่างชาติล้อมไว้นี้เป็นกลอุบายหมายจะให้กรมขุนอินทรพิทักษ์จะได้ไม่รู้ความว่ากำลังถูกฝ่ายเดียวกันปิดล้อมอยู่(พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศว่า กรมขุนอินทรพิทักษ์มีกำลังในมืออยู่ 200 ถูกกองทัพกัมพูชา 3,000 นาย และกองทัพญวน 8,000 นาย ปิดล้อม)

ไม่มีหลักฐานใดบอกให้รู้ว่าทำไมฝ่ายเจ้าพระยาจักรีจึงไม่สั่งจับกรมขุนอินทรพิทักษ์ ทั้งที่มีกำลังต่างกันอย่างมาก แต่กลับสั่งจับกรมขุนรามภูเบศซึ่งอยู่ในกองทัพบุกกรุงกัมพูชาครั้งนี้ด้วย อีกทั้งยังถูกประหารไปพร้อมกับกรมขุนอนุรักษ์สงคราม กลุ่มพระยาสรรค์ และญาติวงศ์พระเจ้าตากที่เป็นชาย ซึ่งเป็นฝ่ายต่อต้านกลุ่มแรกที่ถูกประหาร

นอกจากนี้กรมขุนอินทรพิทักษ์ยังสามารถตีฝ่าวงล้อมทหารนับพันนับหมื่น ออกมาได้อย่าง“อัศจรรย์” จนกระทั่งหนีเข้ามาในเขตเมืองปราจีนบุรีจึงได้รู้ความว่าเปลี่ยนแผ่นดินใหม่แล้ว ก็ได้หนีเข้าป่าหลบซ่อนตัวในเขตเมืองสระบุรี พร้อมพระยากำแหงสงครามกับบ่าวอีก 5 คน

กรมพระราชวังบวรฯ ทรงทราบข่าวจากกรมเมืองปราจีนบุรี จึงอาสานำพล 6,000 เศษ ออกตามจับกรมขุนอินทรพิทักษ์ ในวันอาทิตย์ แรม 2 ค่ำ เดือน 6 ห่างจากวันเปลี่ยนแผ่นดิน 22 วัน ในที่สุดก็จับได้แล้วนำตัวกลับมายังกรุงธนบุรี

พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม) กล่าวถึงตอนนี้ไว้อย่างรวบรัดว่า“ครั้น ณ วันอาทิตย์ แรม 2 ค่ำ เดือน 6 สมเด็จพระอนุชาธิราชจึงชุมพล 6000 เศษแยกกันออกเป็นหลายกอง ไปล้อมจับขุนอินทรพิทักษ์ได้ที่ตำบล เขาน้อยใกล้ปถวี ทั้งขุนชะนะและพรรคพวกเป็น 7 คน คุมเอาตัวลงมา ณ เมืองธนบุรี ณ วันเสาร์ แรม 8 ค่ำ เดือน 6 กราบทูลพระกรุณาแล้วให้ประหารเสีย”

แต่พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา กล่าวถึงรายละเอียดก่อนการประหารกรมขุนอินทรพิทักษ์ไว้ว่า

“ครั้น ณ วันเสาร์ เดือน 6 แรม 8 ค่ำ ทรงพระกรุณาให้ถามกรมขุนอินทรพิทักษ์ว่า ถ้ายอมอยู่จะเลี้ยง ด้วยตัวหาความผิดมิได้ กรมขุนอินทรพิทักษ์ให้การว่าไม่ยอมอยู่ จะขอตายตามบิดา สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ จึงดำรัสให้เอาตัวนายจุ้ยกรมขุนอินทรพิทักษ์ และขุนชนะพระยากำแหงสงครามนั้นไปประหารชีวิตเสีย”

เหตุใดกรมขุนอินทรพิทักษ์จึงได้โอกาสรอดชีวิตถึง๒ครั้งครั้งแรกเมื่อตีฝ่าวงล้อมทหารนับพันนับหมื่นมาได้อย่างน่าสงสัยกับครั้งนี้เป็นครั้งที่๒เรื่องนี้จะเกี่ยวพันกับบทบาทของกรมขุนอินทรพิทักษ์หรือไม่เนื่องจากในช่วงปลายรัชกาลพระเจ้าตากนั้นกรมขุนอินทรพิทักษ์ไม่เป็นที่โปรดของพระเจ้าตากมีเหตุต้องพระราชอาญาถูกสั่งรื้อตำหนักถอดยศและการมีพระราชประสงค์จะให้อยู่ครองกรุงกัมพูชาหลังศึกครั้งนี้เท่ากับเป็นการถอดเสียจากตำแหน่งรัชทายาทในฐานะสมเด็จพระมหาอุปราชกรุงธนบุรี

นอกจากนี้ เราไม่ทราบว่าระหว่าง กรมขุนอินทรพิทักษ์กับกรมพระราชวังบวรฯ หรือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ จะมีความโปรดปรานส่วนตัวกันมากน้อยเพียงใดหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คำสั่งประหารกรมขุนอินทรพิทักษ์ครั้งนี้ ถือเป็น“คำสั่งแรก” ที่กรมพระราชวังบวรฯ จะ“มีส่วน” ในการสำเร็จโทษพระราชวงศ์พระเจ้าตากผู้ที่เคยเว้นชีวิตพระองค์มาก่อน

คำสั่งที่ 2 ของกรมพระราชวังบวรฯ ที่เกี่ยวพันกับพระญาติวงศ์พระเจ้าตาก คือการสั่ง“ฆ่าล้างครัว” “กราบทูลว่า บรรดาบุตรชายน้อยๆ ของเจ้าตากสิน จะขอรับพระราชทานเอาใส่เรือไปล่มน้ำเสียให้สิ้น คำบุราณกล่าวไว้ ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก ซึ่งจะเลี้ยงไว้นั้นหาประโยชน์ไม่ จะเป็นเสี้ยนหนามไปภายหน้า”

ดูเหมือนว่าเนื้อความในคำสั่งนี้จะขัดกับเนื้อความในพระราชประสงค์แรกที่ทรงมีต่อกรมขุนอินทรพิทักษ์ที่ว่า“ถ้าอยู่จะยอมเลี้ยง” แต่มาคราวนี้ถึงกับทรงสั่งฆ่า“บุตรชายน้อยๆ” ของพระเจ้าตาก

อย่างไรก็ดีวรรคทองที่ว่าตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก นี้ ปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุกรมหลวงนรินทรเทวี ว่าตัดไม้ไม่ไว้หน่อฆ่าพ่อไม่เลี้ยงลูก ในกรณีกบฏเจ้าฟ้าเหม็น ส่วนเนื้อความนี้ที่ใช้ในกรณีพระเจ้าตากนั้น ปรากฏอยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีเฉพาะฉบับพระราชหัตถเลขาเพียงแห่งเดียว และมาปรากฏอีกครั้งในประชุมพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์(ฉบับตัวเขียน) แต่ในประชุมพงศาวดารฉบับเดียวกันนี้ที่ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงตรวจชำระนั้น ข้อความนี้ถูกยกออกทั้งหมด

ความแตกต่างในบทบาทของ วังหน้า“พระยาเสือ” ที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารทั้งสองฉบับ โดยเฉพาะบทบาทความโหดร้ายของพระยาเสือที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขานั้น จะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับความ“ขัดข้องขุ่นใจ” ระหว่างวังหลวง–วังหน้าในสมัยรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 4 หรือไม่เป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามไปได้

ทั้งนี้จะเห็นได้จากการวิพากษ์วิจารณ์พระเจ้าตากโดยกระทบผ่านทางพระญาติวงศ์บ้างหรือการกล่าวถึงบทร้าย ของวังหน้าพระยาเสือในบางครั้งเช่นเรื่องที่กรมพระราชวังบวรฯทรงสาปแช่งผู้ที่จะมายึดวังให้ผีสางเทวดาบันดาลอย่าให้มีความสุขนั้นมักผลุบโผล่อยู่ในพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่4นั่นเอง

หมายเหตุ: เนื้อหานี้คัดจากบทความ “วังหน้า ‘พระยาเสือ’ เมื่อต้องโค่นพระเจ้าตาก” เขียนโดย ปรามินทร์ เครือทอง เผยแพร่ในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ฉบับมิถุนายน 2551 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก เมื่อ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

และเพื่อไม่พลาดเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ พร้อมหยิบมาใช้งาน ค้นคว้า อ้างอิง ได้ตลอดเวลา ทางกองบรรณาธิการขอเชิญผู้อ่านสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรมรายเดือน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. ถึง 31 ก.ค. 2564 สำนักพิมพ์ลดราคาพิเศษ 30% และแถมฟรีอีก 1 เดือน สนใจคลิกสมัครสมาชิกหรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0