นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยถึงปัญหาโรคซึมเศร้าว่า ผลการศึกษาของกรมสุขภาพจิต คาดว่าคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ป่วยเป็นโรคนี้ร้อยละ 3 หรือประมาณ 1.5 ล้านคน แต่มีถึงร้อยละ 51 ที่ยังไม่ได้รับการดูแลรักษา ซึ่งสภาวะโรคซึมเศร้านี้ จัดเป็นความเจ็บป่วย ไม่ใช่คนจิตอ่อนแอ
โดยผู้ที่มีอาการ ทุกข์ใจ เศร้า ท้อแท้ เบื่อ ไม่อยากพูดหรือทำอะไร เกือบทั้งวัน และเป็นติดต่อกันจนถึง 2 สัปดาห์ จะมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคซึมเศร้า ต้องเข้ารับการรักษา ด้วยการกินยาควบคุมสารสื่อประสาทให้ทำงานเป็นปกติ ใช้เวลารักษาอย่างน้อย 6-9 เดือน ควบคู่ไปกับกระบวนการทางการแพทย์ เช่น ทำจิตสังคมบำบัดร่วมด้วย เมื่ออาการเข้าสู่สภาวะปกติดีแล้ว สามารถดูแลตัวเองต่อด้วยวิธีการอื่นๆ ได้ เช่น เข้าวัดปฏิบัติธรรม ออกกำลังกาย แต่หากไม่รีบรักษา อาการซึมเศร้าจะเป็นมาก และรุนแรงขึ้น และอาจนำไปสู่การจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายได้
ขณะที่ผู้ที่มีอาการซึมเศร้า และอยู่ระหว่างการรักษา ขอให้กินยาต่อเนื่องครบตามแพทย์สั่ง อย่าลด หรือปรับยาเอง แม้ว่าจะรู้สึกว่าตัวเองอาการดีขึ้นแล้วก็ตาม และให้ยึดหลักปฏิบัติ 8 ประการ
- อย่าตั้งเป้าหมายในการทำงาน และการปฏิบัติตัวที่ยากเกินไป หรือรับผิดชอบมากเกินไป
- แยกแยะปัญหาใหญ่ๆ พร้อมทั้งจัดเรียงความสำคัญก่อนหลัง และลงมือทำเท่าที่สามารถทำได้
- อย่าพยายามบังคับตัวเอง หรือตั้งเป้ากับตัวเองสูงเกินไป
- พยายามทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่น
- เลือกทำกิจกรรมที่จะสร้างความรู้สึกที่ดี หรือเพลิดเพลินและไม่หนักเกินไป
- อย่าตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญต่อชีวิตมากๆ โดยไม่ได้ปรึกษาผู้ใกล้ชิดที่เคารพหรือไว้ใจ ทางที่ดีที่สุด ควรเลื่อนการตัดสินใจออกไป จนกว่าอาการซึมเศร้าจะหายไป หรือดีขึ้น
- ไม่ควรตำหนิตัวเอง
- อย่ายอมรับความคิดในแง่ร้ายที่เกิดขึ้น ขณะมีอาการ ว่าเป็นส่วนที่แท้จริงของตัวเอง เพราะความคิดที่เกิดขึ้น มาจากอาการเจ็บป่วย
หากพบผู้ป่วยที่มีอาการ หรือสังเกตตัวเองว่า มีความรู้สึกหดหู่ มีอารมณ์เศร้า ทำอะไรก็ไม่สนุกเพลิดเพลินเหมือนเดิม เบื่ออาการ กินมากไป หลับยาก หรือหลับทั้งวัน แนะนำให้รีบปรึกษาแพทย์ จิตแพทย์ หรือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้านทั่วประเทศ ตั้งแต่เนิ่นๆ อย่าอายหมอ เพราะอาการเจ็บป่วย ต้องได้รับการรักษาที่ถูกต้อง หรือโทรปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง
