“โมสต์ วิศรุต” แอบประหม่าออกอีเวนต์แรกในรอบ 6 ปี ภูมิใจ “ไอ้จ้อย” พาดัง ยอมรับเคยท้อตามประสาเด็กจบใหม่ แต่ไม่เกี่ยวได้รับบทตัวเล็กตัวน้อยเกินไปจนทำให้อยากออกจากวงการ ต้องเปลี่ยนตัวเอง ไม่กล้าใส่รองเท้าแตะ หวั่นคนมองไม่ดี แฮปปี้ทำให้ครอบครัวภูมิใจ แต่จะไม่ตื่นตูม
คนจะดังเอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ ออกมาแค่ซีนแรกก็เกิดเลยทีเดียว สำหรับ “โมสต์ วิศรุต หิมรัตน์” หรือ “ไอ้จ้อย” คนสนิทคุณพี่เดช ผู้กระเตงไก่ไปไหนมาไหนด้วยตลอดจากละครบุพเพสันนิวาส ก่อนหน้าจะดังขนาดนี้ ผู้กำกับเคยออกมาให้สัมภาษณ์กับ MGR Online ว่าโมสต์เคยท้อจนอยากออกจากวงการ ซึ่งเจ้าตัวก็เปิดใจว่าเป็นความรู้สึกของเด็กที่จบใหม่ๆ แต่ตอนนี้ภูมิใจในความดังของตัวเองแล้ว
“ก็ดีใจมากครับ รู้สึกว่าที่ทำงานมาหายเหนื่อยครับ โดยเฉพาะบุพเพสันนิวาส ทำงานกันเหนื่อยมาก ก็หายเป็นปลิดทิ้งเลย ขนาดไก่ยังดังเลย ตัดต่อกันไปทั่ว(หัวเราะ) ดีใจครับดีใจ มันจะรู้ตัวมั้ยว่ามันดัง เรื่องคาดหวังก็เป็นธรรมดา ของละครเราที่กำลังจะออนแอร์ คือก็โปรโมต คิดว่าคนดูจะชอบนะ แล้วเป็นละครฟอร์มใหญ่ด้วย แต่ตอนนี้คือมันฟีเวอร์ มันทุกอย่างจริงๆ ดังยันไก่อะคุณเอ้ย ก็เหนือความคาดหมายของผมครับ (เราคิดมั้ยว่าบทเรา เด็กฟันดำๆ หิ้วไก่ไปมาจะดัง?) ไม่ๆ ไม่ได้คิดอะไรเลย เพราะว่าเราก็ทำตามหน้าที่ของเราไปครับ สนุกๆ ไป”
รับชีวิตเปลี่ยน ถึงขนาดต้องเก็บกระเป๋ากลับจากเมืองนอก
“เปลี่ยนสิครับ ไม่งั้นผมจะเก็บกระเป๋ากลับมาจากต่างประเทศเหรอ(หัวเราะ) จริงๆ เราจะกลับตอนก่อนสงกรานต์ แล้วก็เลยคิดว่าเอาวะ กลับก่อนก็ได้กลางมีนาคม เดี๋ยวทำงานแล้วค่อยไปเที่ยวต่อก็ได้”
เผยเคยท้อจนอยากออกจากวงการตามประสาเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ
“พี่ใหม่ (ผู้กำกับ) บอกเหรอ (ทำหน้าแค้น) ก็มีบ้าง คือเรากับพี่ใหม่สนิทกัน เวลามีอะไรก็คุยกับพี่ใหม่ตลอด เพราะว่าทำงานด้วยกันมาเยอะ เวลาผมรวมพลังกับพี่ใหม่ ทุกอย่างจะเจ๋ง ก็ปรึกษาครับมีอะไรก็คุยตลอด ถามว่าทำไมท้อ คือมันเป็นช่วงเวลาของเด็กจบใหม่ เข้าใจมั้ยครับ ทุกคนต้องเคยเผชิญสิ มันก็ผสมปนเปจากหลายๆ อย่างนะ ไม่ใช่แค่บุพเพสันนิวาสหรอก แต่มันก็ไม่ได้ดรามาขนาดว่าทำไมฟ้าถึงลงโทษฉันแบบนี้ ไม่ใช่ แต่ก็ท้อนะ เพราะว่ามันนานแล้วก็เหนื่อย แต่พอ 5 4 3 2 เราก็ทำงานอย่างเต็มที่อยู่แล้ว ไม่มีอะไร ไม่ได้ดรามาขนาดนั้น”
“ถามว่าเป็นเพราะบทตัวเล็กตัวน้อยไป คงไม่ทำให้เราเกิดมั้ย อืม…ไม่เลย (ส่ายหัว) บทน้อยก็ยาก เพราะฉะนั้นไม่มีเวลามาคิดหรอกว่าเอาเรามาทำอะไรเนี่ย ซึ่งตอนนี้ความคิดนั้นก็หายเป็นปลิดทิ้ง ทุกคนหายเหนื่อย ตอนนี้ไอ้จ้อยก็เป็นชื่อใหม่ บางคนยังไม่รู้เลยว่าเราชื่อโมสต์ บางคนจะเรียกเราก็เรียกแบบน้อง…น้อง…น้องจ้อย ยังไม่ได้พูดชื่อผมเลย เดินเข้ามาถามว่าไก่ล่ะ (หัวเราะ) แฮปปี้ครับ มีคนส่งรูปมาว่าที่สตาร์บัคส์มีแก้วบุพเพสันนิวาสด้วยนะ”
ครอบครัวเห่อ แต่พยายามไม่ตื่นตูม
“ที่บ้านครอบครัวก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกครับ ก็แค่ไลน์มาในกรุ๊ปทุกวันว่าลงรูปให้แล้วนะลูก(หัวเราะ) ก็เห่อครับ แต่เรียกว่าดีใจดีกว่า ทุกคนพยายามไม่ตื่นตูมกับมันเพราะมันก็เป็นแค่กระแส ก็ดีใจกับความสำเร็จตรงนี้กันเท่านั้นเอง ซึ่งผมก็ไม่ค่อยปรับตัว เพราะไม่ได้ทำงานนานมากไปอเมริกา แต่กลับมาก็ยังทำตัวเหมือนเดิม คือไม่อยากจะแบบแอ็กหรือใส่แว่นดำอะไร เราก็เหมือนเดิมครับ”
ไม่กล้าใส่รองเท้าแตะช้างดาวออกจากบ้าน ระวังตัวกลัวคนตัดสินจากสิ่งที่เห็น
“ความเป็นส่วนตัวไม่ค่อยมี (หัวเราะ) เพระว่าผมชอบนั่งรถไฟฟ้า ชอบเดินตามถนนมาก แล้วก็ชอบใส่รองเท้าแตะช้างดาวมาก ตอนนี้ผมไม่กล้าใส่แล้ว เพราะว่าเรากลัวว่าคนที่เจอเราตอนนั้นจะตัดสินตัวเราจากการที่ได้เห็นเลยหรือเปล่า ก็ต้องระวังมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้กลัวหรอก แค่ต้องระวังตัวมากขึ้น (ทำไมถึงคิดว่าใส่ไม่ได้แล้ว?) ก็แบบว่าบางทีมันจะดูไม่ดี แต่ผมก็ไม่ได้สนใจมาก ถ้าออกไปเซเว่นหน้าบ้านก็ใส่ครับ”
ยอมรับประหม่า ออกอีเวนต์ครั้งแรกในรอบ 6 ปี
“ก็มีครับ มีมาเรื่อยๆ แบบอาทิตย์ละครั้งสองครั้ง ไม่หนักเท่าพี่โป๊ป (ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ) อยู่มา 6 ปีงานนี้งานแรกครับ จริงๆ มีอีกงานหนึ่งแต่นานมากแล้ว แต่นี่คืองานแรกตั้งแต่กลับมา ประหม่ามาก(หัวเราะ) เรื่องกลับอเมริกาก็ดูงานก่อนครับ คือมันได้กลับมา มันเป็นสิ่งที่เรารอ เป็นอาชีพที่เราเลือกมานานแล้ว เพียงแค่ตอนนี้มันเดินทางไปอย่างราบรื่นมากขึ้น ทำไมเราถึงจะกลับไปล่ะ ถ้าเราอยากเรียนเดี๋ยวอาจจะเรียนที่ไทยครับ ก็พยายามมาเรื่อยๆ ครับ ตั้งแต่เรื่องน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ ก็ 6 ปีแล้วครับ”
