กรณีนางเรวดี หาแก้ว หรือ “ป้าติ้น” ได้ออกมาเปิดเผยว่า ตนร่วมซื้อลอตเตอรี่งวด 1 เม.ย. 60 กับนางจรูญ หรือ “ป้าติ๋ว” ต่อมาลอตเตอรี่ชุดดังกล่าวถูกรางวัลที่ 1 มูลค่า 30 ล้านบาท โดยป้าติ้นอ้างว่า ป้าติ๋วได้เก็บลอตเตอรี่ชุดดังกล่าวไว้เพียงลำพัง กระทั่งเมื่อวานนี้ (8 มี.ค.) ทั้งสองคนพร้อมด้วยนางสุดารัตน์ น้อยนิตย์ หรือ “ป้าดา” ผู้ถูกป้าติ้น กล่าวหาว่า ยักยอกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 ไปก่อนหน้านี้ ได้เดินทางมาร่วมรายการต่างคนต่างคิด ซึ่งได้มีการตอบรับคำท้าสาบานเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจที่วัดพระแก้ว ในวันที่ 10 มี.ค. เวลา 13.00 น.
วันนี้ (9 มี.ค.) นางเรวดี หาแก้ว หรือป้าติ้น ยืนยันว่าจะเดินทางไปร่วมสาบานอย่างแน่นอน ไม่ได้รู้สึกกังวลหรือหนักใจ เพราะตนที่เป็นคนท้าป้าดา และป้าติ๋ว โดยเหตุที่เลือกวัดพระแก้ว เพราะเป็นวัดที่มีความศักดิ์สิทธิ์ และทุกคนเคารพนับถือ ตนอยากให้ไปสาบาน เพื่อจะได้รู้ว่า มีอะไรเกิดขึ้น อีกฝ่ายจะได้เกิดความเกรงกลัวละอายต่อบาป
ส่วนวันพรุ่งนี้ ตนเองไม่ได้เตรียมอะไรมากมาย คำสาบานไม่จำเป็นต้องร่าง คิดแบบไหนพูดไปแบบนั้น ใครจะแช่งใคร หรือใครจะรับแบบไหนก็พูดออกไป
“เราก็พูดไปว่าอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาเป็นพยาน แล้วป้าก็จะเอาน้ำสาบานไปด้วยนะ หาน้ำไป ใส่พริก ใส่เกลืออะไรลงไปให้หมด พอสาบานเสร็จก็ให้กินน้ำกันที่นั่นเลย” ป้าติ้นกล่าว
ด้าน นางจรูญ หรือ ป้าติ๋ว คู่กรณี ป้าดา กล่าวด้วยว่า ตนยังไม่ได้ร่างคำสาบาน ก่อนหน้านี้ได้ติดต่อให้อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่ตนเองนับถือ ช่วยร่างคำสาบานให้ แต่เนื่องจากอาจารย์ติดธุระ ตนจึงตั้งใจว่า จะให้ลูกสาวช่วยดู เหตุผลที่ต้องร่างคำสาบานเพราะตนอายุมากแล้ว เพื่อให้การสาบานลื่นไหลไม่ติดขัด และกลัวจะเรียงลำดับคำพูดไม่ถูก ซึ่งในบทคงไม่มีอะไรมากมาย เพียงแค่ยืนยันว่า ตนไม่ได้ซื้อมาจริง ใครที่พูดโกหกก็ขอให้ได้รับกรรม แต่คงไม่ไปสาปแช่งถึงวงศ์ตระกูล สาบานให้มีผลเพียงแค่เราสองคนก็พอ
โดยในวันพรุ่งนี้ ตนจะใส่ชุดขาวไป และเดินทางไปกับป้าดา ส่วนเวลาออกจากบ้านไม่ได้ถือฤกษ์อะไร ใช้เป็นฤกษ์สะดวก แต่จะเดินทางไปถึงก่อนเวลาบ่ายโมง ตามที่นัดไว้แน่นอน และหากวัดพระแก้ว ไม่อนุญาตให้ใช้สถานที่ ตนก็มีสถานที่สำรองไว้ในใจ คือ วัดระฆังโฆษิตาราม เพราะตนเคารพนับถือวัดนี้ มาตั้งแต่สมัยวัยรุ่น แต่จะไม่ไปศาลหลักเมือง เพราะคนจะหาว่าเลียนแบบคดีหวยที่ จ.กาญจนบุรี
ขณะที่ ลูกสาวของป้าติ๋ว เปิดเผยว่า ที่ตนให้แม่รับคำท้าสาบาน เพราะรู้อยู่แล้วว่าตนเองบริสุทธิ์ใจจึงรับคำท้า หลังจากนี้ผลกรรมจากการสาบาน ส่งผลให้เกิดอะไรขึ้นก็ต้องยอมรับ ซึ่งจริงๆ แล้ว เรื่องนี้คู่กรณีแม่ควรหยุดได้ตั้งนานแล้ว เพราะหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชัดเจน แต่ถ้าเขาคิดว่าเขาถูก เขาคงมีปัญหาด้านสติ ก็ปล่อยให้เขาทำไป ถือว่าเอาใจคนบ้า
แม้กระแสสังคมจะประณามแค่ไหน คู่กรณีแม่ก็ยังไม่หยุด ก็ต้องทำให้ถึงที่สุด และสุดท้ายจะไม่มีที่ยืนในสังคม เมื่อถึงจุดนั้น ฝ่ายตนจะไม่ยอมแน่นอน ขอเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ส่วนคำสาบาน ตนจะช่วยดูร่างคำสาบานของแม่ว่าทุกอย่างเราไม่ผิด ใครโกหกขอให้รับผลกรรมจนถึงที่สุด และไม่มีคำสาปแช่งใดๆ เพราะเราไม่ได้คิดร้ายอะไรกับใคร เชื่อว่าแค่สิ่งที่เขาคิด ก็ร้ายพอที่จะทำร้ายตัวเขาเองได้แล้ว
