โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

สิ่งที่น่ากลัวกว่าภาษีก็คืออนาคตของคุณนั่นแหละ!!

aomMONEY

อัพเดต 15 ม.ค. 2561 เวลา 00.37 น. • เผยแพร่ 27 ธ.ค. 2560 เวลา 09.54 น. • TAXBugnoms
สิ่งที่น่ากลัวกว่าภาษีก็คืออนาคตของคุณนั่นแหละ!!
สิ่งที่น่ากลัวกว่าภาษีก็คืออนาคตของคุณนั่นแหละ!!

ในช่วงปลายปีนี้ กระแสการลดหย่อนภาษีทะยานขึ้นมาเป็นประเด็นลำดับแรกๆ ในแวดวงมนุษย์เงินเดือน ทั้งในแง่ของการลงทุน และการตอบสนองนโยบายรัฐที่ออกเครื่องมืออย่างช้อปช่วยชาติมากระตุ้นให้เราหยิบกระเป๋าตังส์ และเดินออกจากบ้านไปใช้สิทธิเหล่านั้นทั้งแบบที่มีการวางแผน และแบบเออ…ตรูไปช่วยด้วยก็ได้ 

หรือแม้แต่กระแสกระตุ้นการออม ลงทุน การวางแผนการเงินทั้งหลายที่ได้รับความนิยมในช่วงนี้ ก็มักจะบอกว่าเราต้องลงทุนใน LTF RMF หรือจัดการป้องกันความเสี่ยงด้วยประกันชีวิตให้มากที่สุด เพื่อประโยชน์สูงสุดของการมีชีวิตอยู่ แบบที่ เอ่อ ไม่รู้ว่าจะเสียภาษีไปทำไมนั่นแหละ

แต่เอาเข้าจริงแล้วยังมีมนุษย์เงินเดือนบางกลุ่มที่ยังไม่เข้าใจโครงสร้างภาษีว่ารายได้เรานั้นอยู่ในขั้นไหนถึงจะต้องจ่ายภาษี แต่ก็ดันเฮโลไปช่วยชาติหรือใช้สิทธิลดหย่อนด้วยทรัพย์สินต่างๆ กับเขาด้วยแบบมึนงง หนำซ้ำไปกว่านั้น สำหรับมนุษย์เงินเดือนบางคนที่เงินเดือนไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องจ่ายภาษีก็ขอร่วมด้วยเพราะอยากจะประหยัดภาษีกับเขาบ้าง (ถ้างงกรุณาอ่านใหม่อีกครั้ง)

ดังนั้น สิ่งที่น่ากลัวกว่าเรื่องของภาษี นั่นคือ เรื่องของการจัดการการเงิน ทำความเข้าใจในตัวช่วยเพื่อลดหย่อนภาษีต่างๆ เพื่อจัดการให้เงินกระเป๋าของเราเหลือสูงสุด แม้ว่าจะเสียภาษีหรือไม่ก็ตาม..

.

อย่างไรก็ดี.. เรื่องที่เล่ามานั้นเป็นมุมมองปกติที่เราหาอ่านได้ตามเพจการเงินทั่วไป แต่วันนี้มีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะเล่าให้ฟังสำหรับคนที่ยังไม่เสียภาษี เพราะว่าหลายคนนั้นอาจจะกำลังติดกับดักความคิดบางอย่างอยู่โดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้

**มนุษย์เงินเดือนกับการไม่เสียภาษี

เรื่องที่ น่ายินดี หรือ น่าผิดหวัง**

การไม่เสียภาษีเพราะฐานรายได้ไม่ถึงนั้นอาจเป็นกับดักทางความคิดของมนุษย์เงินเดือนบางกลุ่ม และอาจส่งผลต่อความก้าวหน้าของการทำงานในอนาคต นั่นเพราะหากเรามัวจมอยู่กับการเอาชนะเรื่องไม่จ่ายภาษี โดยที่เงินเดือนยังคงเท่าเดิมนั้น ชีวิตของเราไม่ไปไหนแน่นอน 

ไม่เชื่อลองถามคนที่เสียภาษีทุกวันนี้สิว่า ถ้าไม่อยากเสียภาษี หรือ อยากเสียภาษีน้อยลง ให้ลดรายได้ลง (เพราะยิ่งรายได้สูงยิ่งเสียภาษีสูงขึ้น) รับประกันว่าไม่มีใครเอาด้วยอย่างแน่นอน

มาถึงตรงนี้ ประเด็นที่เราควรใส่ใจมากกว่าเรื่องของภาษี มันคือเรื่องชีวิตและความสามารถในการหารายได้ของต่างหาก ลองเหลือบตามองรอบตัว เราเห็นคนที่อายุใกล้เคียงกับเรา หรือน้อยกว่าแต่เขามีความก้าวหน้าของชีวิตไปมากกว่าแค่ไหน

บางทีอาจจะได้คำถามกลับมาว่า เรากำลังทำอะไรอยู่ และเราควรดีใจกับการที่เงินอยู่ที่ 25,000 บาท และรับประสบการณ์ดีๆด้วยการไม่เสียภาษีเท่านั้นเหรอ?

อย่าลืมว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก และความรวดเร็วก็ย่อมตามมาด้วยความเปลี่ยนแปลง และความเปลี่ยนแปลงนี่เองที่มนุษย์เงินเดือนทุกคนควรอัพสกิลให้ชีวิตทั้งในแง่ความคิดและหน้าที่การงานให้ก้าวหน้าและนี่คือเหตุผลที่มนุษย์เงินเดือนควรอัพสกิลในหลายมิติ เพื่อรองรับเหตุการณ์ในอนาคตที่กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของคุณเร็วๆ นี้ 

ยินดีต้อนรับโลกของหุ่นยนต์

ระยะหลังเราเห็นข่าวการปิดตัวของสื่อเก่า และตำแหน่งหน้าที่ของพนักงานที่ถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยี ซึ่งการทดแทนนั้นต้องแลกกับการสูญเสียโอกาสของมนุษย์เงินเดือนบางกลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ แน่นอนว่าถ้าเรามองในมุมของมนุษย์เงินเดือนก็ย่อมต้องคิดว่าถูกเอาเปรียบจากผู้ประกอบการเป็นแน่แท้ แต่ถ้าเราอยู่ในสถานะของผู้ประกอบการนี่คือทางเลือกในการดำเนินงานผ่านระบบ Automation ที่น่าสนใจเพื่อรับมือกับโลกที่ผันแปรไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะหยุดงาน หรือเกิดความผิดพลาดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอเหมือนพนักงาน 

นี่คือความไม่แน่นอนของโลกอนาคตอันใกล้ที่เกิดขึ้นแล้ว และกำลังลุกลามไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ มากขึ้น ดังนั้น การลดความเสี่ยงของชีวิตมนุษย์เงินเดือนที่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมที่อาจได้รับผลกระทบคือการออมเงินฉุกเฉินตั้งแต่วันนี้ซะ อย่างน้อยต้องมีเงินสำรองฉุกเฉินสัก 6 เดือน เห็นไหมเรื่องการเงินก็มาเชื่อมโยงกับความเสี่ยงของเทคโนโลยีที่จะมาแย่งงานเราได้ แต่นี่ก็เป็นเพียงแผนสำรองแบบพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนควรมี เพราะเกมชีวิตไม่ได้จบลงแค่นี้ แต่ยังยาวไกลถึงหลังเกษียณโน่น แน่นอนว่าระหว่างนั้นเรายังคงต้องพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง หากไม่อยากให้หุ่นยนต์มาแย่งเงินเดือนออกจากกระเป๋าตังค์เราได้ง่ายๆ

อายุมากขึ้น แต่รายได้ไม่มากตาม

การที่เรามีอายุยืนยาวมากขึ้นนั้นไม่ได้เป็นเรื่องปัจเจก แต่เป็นเทรนด์ของโลกที่กำลังเคลื่อนเข้ามาบอกเราว่า คุณคือส่วนหนึ่งของเทรนด์ในอนาคต คำถามต่อมาคือ ในอนาคตเราอยากเป็นกลุ่มผู้สูงอายุแบบไหน แบบเกษียณออกมาด้วยเงินเดือนสุดท้ายคือ 25,000 บาท เพียงเพราะไม่อยากเสียภาษีทั้งชีวิต หรือเกษียณออกมาพร้อมเงินเดือนหลักแสนจากความก้าวหน้าของตำแหน่งหน้าที่การงาน และเงินก้อนหลายสิบล้านจากการวางแผนทางการเงินด้วยการลงทุนตั้งแต่วัยหนุ่มสาว เพื่อใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างสบายอารมณ์ ซึ่งแนวโน้มการจ้างงานต่อสำหรับคนเกษียณที่ยังมีความสามารถ (Active Aging) ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป เพราะบางวิชาชีพก็ต้องอาศัยประสบการณ์ที่บ่มเพาะจากคนวัยเก๋ามาประคับประคองคนรุ่นใหม่เหมือนกันนะ ฉะนั้น จงฉกฉวยประสบการณ์ในการทำงานของคุณเอาไว้ เพราะมันคือทรัพย์สินที่ไม่มีใครขโมยไปได้นอกจากตัวเราเองที่ไม่เห็นคุณค่า

            และอย่าลืมคิดต่อด้วยว่า ในโลกยุคปัจจุบันนั้น ประสบการณ์ทั้งหลายของคนเราเท่าเทียมกันมากขึ้น สิ่งที่คุณรู้ในวันนี้อาจจะไม่มีค่าในอนาคตเลยด้วยซ้ำ เช่นเดียวกันกับคนที่มองเห็นโอกาสก่อนคนอื่น อาจจะช่วยให้เขาพลิกฟื้นชีวิตได้รวดเร็วกว่าไม่รู้กี่เท่า

            คำถามคือ เรามีความสามารถอะไรบ้างที่จะชดเชยเหตุการณ์เหล่านี้ หรือเรานั้นเชื่อว่าสิ่งที่เรามีนั้นดีที่สุดจนหยุดพัฒนาก็ได้ ซึ่งนั่นแปลว่าคุณอาจจะกำลังเจอกับฝันร้ายของชีวิตในไม่ช้า

รายได้ที่มากขึ้น ย่อมทำให้เราเรียนรู้การจัดการภาษี

ยิ่งเรามีรายได้ต่อปีมากเท่าไหร่ สัญชาตญาณจะสอนให้เรารักษารายได้เหล่านั้นมากขึ้น นี่คือภาพรวมของการเรียนรู้บนโลกการเงินที่มนุษย์เงินเดือนธรรมดาอย่างเราก็สามารถเข้าใจได้ ยิ่งเรามีรายได้ต่อปีที่เพิ่มขึ้น ความเชื่อมั่นในตัวเอง ว่าเราสามารถสร้างรายได้จากความสามารถก็เพิ่มขึ้นไปอีก 

พอถึงช่วงที่เราต้องเสียภาษี เราอาจเสียดายเงินก้อนหนึ่งที่ต้องจ่ายไปให้กับภาครัฐเพื่อนำไปทำนุบำรุงประเทศต่อไป เราจึงเริ่มศึกษาและหาหนทางผ่านเครื่องมือลดหย่อนภาษีต่างๆ เพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนตนเอาไว้บ้าง นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้โลกแห่งการลงทุน และวิธีการคำนวณภาษีที่ไม่เคยคิดจะศึกษามาก่อน 

เห็นไหมว่าจริงๆแล้ว การเสียภาษีนั้นมีข้อดีหลายอย่างซ่อนอยู่ อย่างน้อยก็ทำให้เรารู้ที่วางแผนจัดการตัวเองมากขึ้น

ยินดีต้อนรับทัศนคติต่อการบุกเบิกอาชีพใหม่

ทฤษฏีเรื่องจุดหนึ่งจุดในชีวิตที่ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่สามารถเชื่อมโยงกันได้จนเกิดเป็นนวัตกรรมหรือสิ่งใหม่ตามที่สตีฟจ็อบเคยบอกไว้นั้น ยังคงเกิดขึ้นจริงอยู่เสมอ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง เราจึงเห็นโอกาสจากคนรุ่นเก่า และคนรุ่นใหม่ที่หยิบทั้งประสบการณ์ และความคิดสร้างสรรค์มาประยุกต์จนกลายเป็นโมเดลธุรกิจที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนปรากฎออกมาเรื่อยๆ 

แม้หลายคนจะบอกว่าบุคคลเหล่านั้นมีต้นทุนทางทรัพย์สินที่พร้อมชนความเสี่ยงในการทดลอง หากคิดเช่นนั้นโอกาสก็ปิดลงแล้วสำหรับเรา คำถามที่สำคัญคือถ้าเรายังคงเป็นมนุษย์เงินเดือนไม่กี่หมื่นบาท แถมยังไม่ขวนขวายหาโอกาส เราจะรอให้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมาไล่ต้อนชีวิตจนถึงเกษียณแล้วรอนโยบายเจ๋งๆ มาอุ้มชูเราเหรอ 

หากเป็นเช่นนั้นความน่ากลัวยิ่งกว่าการเสียหรือไม่เสียภาษีคงเป็นประเด็นเล็กน้อยไปเลย เพราะประเด็นใหญ่กว่านั้นคือ เราจะเอาตัวรอดต่อกับดักความคิดกลางๆ แบบนี้ได้อย่างไรท่ามกลางในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยการแข่งขันทั้งจากคนเจนใหม่ทั้งไทยและเทศ เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นทุกวัน รวมถึงการขาดความรู้ทางการเงิน และการลงทุน ฯลฯ

ทุกอย่างอยู่ที่เรา ลองตั้งคำถามกับตัวเองตั้งแต่วันนี้ว่าเราอยากมีชีวิตแบบไหน หลังเกษียณใช้ชีวิตอย่างไร ไม่แน่วันพรุ่งนี้เป้าหมายในชีวิตของเราอาจไม่ได้มีแค่การมีความสุขจากการไม่ต้องเสียภาษีอย่างเดียวก็ได้นะครับ

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0