โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ลุยค้นบ้านขรก."ซี8" ศธ. คดีโกงเงินนร. 18 ล้าน ยึดเอกสารหลักฐานไปตรวจสอบ

Khaosod

อัพเดต 24 มี.ค. 2561 เวลา 01.50 น. • เผยแพร่ 24 มี.ค. 2561 เวลา 01.50 น.
895

 ลุยค้นบ้านขรก.ซี 8 ศธ. ผู้ต้องหาทุจริต เงินกองทุนเสมาฯ ช่วงปี”60 เป็นเงิน 18.8 ล้าน ยึดเอกสารหลักฐานไปตรวจสอบ เส้นทางการเงิน เนื่องจากเชื่อว่าน่าจะมีผู้ร่วมขบวนการ สอบย้อนหลังพบ ทำมาตั้งแต่ปี”51 มูลค่าเสียหายนับ 100 ล้านบาท เผยเจ้าตัวรับว่ามีหน้าที่จดบันทึกการประชุม และทำเอกสารเพื่ออนุมัติโอนเงินให้กับเด็กนักเรียน แต่ทำเอกสารเท็จ โอนเงินไปเข้าบัญชีญาติพี่น้อง ก่อนโอนกลับมาเข้าบัญชีตนเองภายหลัง ล่าสุดบอร์ดป.ป.ท. มีมติดำเนินคดี 5 ข้อหา ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ เผยเตรียมสอบเอาผิดทางวินัย ชี้กรณีนี้มีโทษแค่ปลดออกกับไล่ออกเท่านั้น เผยเข้าข่ายอีก 4 ราย อยู่ในระหว่างสืบข้อเท็จจริงร่วมด้วยหรือไม่ 

เมื่อเวลา 06.30 น. วันที่ 23 มี.ค. พ.ท. กรทิพย์ ดาโรจน์ เลขาธิการ ป.ป.ท. พร้อม พ.ต.อ.ธนวุฒิ โพธิ์ชุ่ม ประธานอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง ป.ป.ท. พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผอ.กองปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ 2 ป.ป.ท. สนธิกำลังเจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ท. สำนักงาน ปปง. ตำรวจ บก.ปอท. และตำรวจ สน.ดอนเมือง นำหมายค้นศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เลขที่ 2/2561 และ 3/2561 ลงวันที่ 22 มี.ค. 2561 เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 310/926 และ 310/927 หมู่บ้านปิ่นเจริญ 3 ถนนสรงประภา 14 แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ ของนางรจนา สินที นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ สังกัดสำนักส่งเสริมกิจการการศึกษา ระดับ 8 กระทรวงศึกษาธิการ ที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีเป็นเจ้าหน้าที่เบียดบังงบกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต ทุนการศึกษาของนักเรียนในโครงการของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ช่วงปี”60 นำเงินไปเข้าบัญชีบุคคลอื่นเป็นเงิน 18.8 ล้านบาท เพื่ออายัดทรัพย์สินทั้งหมดไว้ตรวจสอบ

เมื่อไปถึงพบสภาพบ้านเป็นทาวน์เฮาส์หลังเก่า 2 หลังติดกัน มีการนำผ้าม่านและแผ่นสังกะสีปิดซ้อนกับประตูรั้วอย่างมิดชิด พ.ต.ท.สิริพงษ์ได้แสดงหมายค้น และชี้แจงวัตถุประสงค์กับนางรจนา นานกว่า 20 นาที โดยนางรจนาได้โทรศัพท์หารือกับทนายความก่อนอนุญาตให้เฉพาะเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. เข้าตรวจค้นเก็บหลักฐาน

ทั้งนี้ พ.ต.ท.สิริพงษ์เปิดเผยว่า คดีนี้เลขา ธิการป.ป.ท.มีนโยบายให้ทำงานเชิงรุก ภายหลังบอร์ดป.ป.ท.มีมติตั้งอนุกรรมการไต่สวนความผิดก็ได้ขอหมายค้นเข้าตรวจค้น เพื่อเก็บพยานหลักฐานในทันที เนื่องจากกรณีของนางรจนามีเหตุต้องสงสัยว่าเป็นเพียงข้าราชการระดับ 8 แต่สามารถใช้ช่องว่างทุจริตอย่าง ต่อเนื่องนานกว่า 10 ปี สร้างความเสียหายให้กับระบบราชการกว่า 100 ล้านบาท ขณะที่สภาพบ้านพักค่อนข้างทรุดโทรม จึงเป็นประเด็นต้องสงสัยถึงเส้นทางการเงิน โดยเบื้องต้นพบเส้นทางการเงินที่ได้จากการทุจริตนำไปเข้าในบัญชีของบุคคลต่างๆ ตั้งแต่ปี”51 จนถึงปัจจุบันแล้ว แต่อยู่ระหว่างการขยายผลว่าเงินไหลออกไปจุดใดบ้าง ที่สำคัญในคดี มีข้อสงสัยว่าการอนุมัติทุนทำในรูปคณะกรรมการ มีผู้ร่วมพิจารณาเป็นจำนวนมาก เหตุใดจึงมีการทุจริตเพียงคนเดียว โดยไม่พบร่องรอยของผู้ร่วมพิจารณารับรู้เรื่องด้วย สำหรับผู้ที่มีชื่อรับเงินจากนางรจนาจะต้องเสนอให้บอร์ดป.ป.ท.มีมติตั้งอนุกรรมการไต่สวนเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีทั้งหมด

ต่อมาเวลา 08.00 น. พ.ต.ท.สิริพงษ์ เผยอีกว่าเจ้าหน้าที่มีเวลาในการตรวจอายัด หลักฐาน ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น. จะพยายามตรวจอายัดให้เสร็จภายในวันนี้ ก่อนนำหลักฐานทั้งหมดไปตรวจสอบ และหาความเชื่อมโยงว่าเกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่ เบื้องต้นได้ทำการตรวจอายัดแฟ้มเอกสารจำนวนมาก และคอมพิวเตอร์อีกจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้จากการตรวจสอบบ้าน 2 หลัง สามารถทะลุถึงกันได้ มีคนในครอบครัวรวมประมาณ 4 คน รวมนางรจนาด้วย ซึ่งให้ความร่วมมือเจ้าหน้าที่ในการตรวจเป็นอย่างดี หลังจากนี้จะนำหลักฐานทั้งหมด กลับป.ป.ท. เพื่อให้คณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงทำการตรวจหาพยานหลักฐานต่อไป นอกจากนี้ ยังตรวจอายัดเอกสารที่อยู่ภายในรถมิตซูบิชิ ปาเจโร สีน้ำเงิน ทะเบียน ศส 6116 กรุงเทพฯ ของนางรจนา ที่จอดอยู่หน้าบ้านไปตรวจสอบด้วย

ขณะที่พ.ท.กรทิพย์ เผยว่า จากนี้หากพบความเกี่ยวโยงถึงใคร และข้าราชการระดับสูง คณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง ป.ป.ท. จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป นอกจากนี้ พบว่า ปปง.ตรวจสอบพบเส้นทางการเงินบุคคลที่ไม่ใช่เครือญาติของนางรจนา ไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะอยู่ในสำนวน แต่ยังต้องขอเวลาตรวจสอบเพิ่มเติมอีก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ศธ.ได้ตรวจสอบภายใน พบเบาะแสทุจริต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาจึงสั่งการให้ตรวจสอบย้อนหลังไปจนถึงปี 2551 ในแต่ละปีกองทุนเสมาฯจะได้รับอนุมัติงบประมาณปีละ 10-30 ล้านบาท พบถูกโอนเงินไปพักไว้ในบัญชีแม่ น้องชาย น้องสาว น้องสะใภ้ และลูกศิษย์ของนางรจนา รวมถึงบัญชีของบุคคลอื่นๆ รวม 22 บัญชี จากนั้นจึงโอนกลับเข้าบัญชีของตนเอง ในชั้นสอบสวนนางรจนารับสารภาพว่าเป็น ผู้ดำเนินการเพียงคนเดียว โดยมีหน้าที่เป็น ผู้ช่วยเลขาจดบันทึกรายงานการประชุม หลังการประชุมนางรจนาจะทำเอกสารต่างๆ แทนที่ จะนำเงินเข้าบัญชีของนักเรียนแต่กลับทำเอกสารระบุรายชื่อบัญชีของเครือญาติมาสอดแทรกเข้าไปเพื่อรับเงินแทนก่อนเสนอผู้บังคับบัญชาอนุมัติเงิน

ต่อมา ศธ.แจ้งความพนักงานสอบสวน สน.ดุสิต เอาผิดนางรจนา ดำเนินคดีว่าเป็นเจ้าหน้าที่เบียดบังงบประมาณ ปี”60 นำเงินไปเข้าบัญชีบุคคลอื่นเป็นเงิน 18.8 ล้านบาท ต่อมาพนักงานสอบสวน สน.ดุสิต ส่งสำนวนมาให้ ป.ป.ท.สอบสวนขยายผลถึงผู้ร่วมกระทำความผิด พร้อมติดตามทรัพย์สินคืน ล่าสุดบอร์ด ป.ป.ท. มีมติให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนนางรจนา ตั้งข้อกล่าวหา 5 ข้อหา 1.ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย มาตรา 147 2.ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น มาตรา 151 3.ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร กรอกข้อความลงในเอกสารหรือดูแลรักษาเอกสาร กระทำการปลอมเอกสารโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้น มาตรา 161 4.ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการในการปฏิบัติการตามหน้าที่ มาตรา 162 และ 5.ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต มาตรา 157

วันเดียวกัน นายอรรคพล ตรึกตรอง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงกรณีทุจริตกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต เปิดเผยว่า สำหรับการสืบสวนสอบสวนข้าราชการระดับปฏิบัติยังคงดำเนินการต่อไปอย่างเข้มข้น ทั้งที่รับสารภาพแล้ว 1 ราย ซึ่งขณะนี้นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัด ศธ.ได้ส่งหนังสือแจ้งไปยังคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (อ.ก.พ. สป.ศธ.) เพื่อพิจารณาโทษทางวินัยข้าราชการระดับ 8 รายดังกล่าวฐานความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ในวันที่ 26 มี.ค.นี้แล้ว โดยโทษมีเพียง 2 กรณีคือ ปลดออก หรือ ไล่ออก เท่านั้น ส่วนอีก 4 รายอยู่ในระหว่างสืบข้อเท็จจริงว่ารู้เห็นเป็นใจด้วยหรือไม่ “หาก ป.ป.ท.ตรวจพบเอกสารสำคัญที่เชื่อมโยงเป็นประโยชน์กับการสืบสวนของ ศธ. ผมจะทำหนังสือถึง ป.ป.ท.เพื่อขอเอกสารดังกล่าวมาใช้ประกอบการสืบสวนสอบสวนเอาผิดต่อไป” ประธานคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงฯ กล่าว

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0