บริษัทแบบไหนที่พนักงานพร้อมทุ่มสุดตัว?
เพิ่งเป็นกระแสกันไปกับป้ายโฆษณาบิลบอร์ดที่มีข้อความชวนให้คนที่กำลังเบื่องานหาที่ทำงานใหม่ เพราะเบื่อเจ้านายบ้าง ขอบเขตงานไม่ดีบ้าง
ประจวบเหมาะกับที่ Glassdoor.com เว็บไซต์รวมรวมข้อมูลและรีวิวสำหรับคนหางาน ก็ได้ประกาศผลการจัดลำดับออฟฟิศยอดเยี่ยมประจำปี 2018 พอดี จึงทำให้เราสนใจใคร่รู้ว่าบริษัทแบบไหนกันที่พนักงานต้องการมากที่สุด
โดยข้อมูลที่พวกเขาสำรวจมานั้นก็มีทั้ง 'เหตุผลที่คุณยังทำงานอยู่' 'จุดบกพร่อง' 'การให้คำแนะนำ' 'จะชวนเพื่อนให้มาทำงานที่นี่หรือไม่' รวมถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น 'ความก้าวหน้าของตำแหน่งงาน' ' สวัสดิการ' และ 'วัฒนธรรมองค์กร'
จากเดิมที่บริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมักจะอยู่ในอันดับแรกๆ ของการจัดลำดับ และตัวเลือกแรกๆ ของคนทำงานในยุคนี้ ด้วยวัฒนธรรมที่ยืดหยุ่น ตอบโจทย์คนยุคใหม่ อีกทั้งโอกาสเติบโตของทั้งบริษัทและตำแหน่งงานของตัวเองก็มีสูง
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ จากผลการจัดลำดับของปี 2018 นั้นกลับพบว่ามีบริษัทชั้นนำของแต่ละอุตสาหกรรมติดอันดับต้นๆ โดยพร้อมเพรียง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่า CEO ในอุตสาหกรรมเหล่านั้นเริ่มตื่นตัวเรื่องการจัดการและดูแลลูกจ้างที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจจากการรวบรวมข้อมูล ก็คือ พนักงานอยากและปรารถนาที่จะทำงานในบริษัทที่มี วัฒนธรรมองค์กรที่มุ่งขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย (แปลง่ายๆ ก็คือ ไม่ใช่แค่หากำไรไปวันๆ) เห็นโอกาสก้าวหน้าในตำแหน่งงานชัดเจน และมีหัวหน้าทีมที่เห็นคุณค่าของคนในทีม สื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมา
Facebook ออฟฟิศในฝันอันดับหนึ่ง
ด้วยคะแนนเฉลี่ย 4.6 คะแนน พร้อมเสียงชื่นชมจากเหล่าพนักงานทำให้ Facebook Inc. เป็นออฟฟิศทำงานที่ดีที่สุดประจำปี 2018 โดยที่มีบริษัทให้คำแนะนำและเชี่ยวชาญการจัดการอย่างออฟฟิศ Bain & Company และ Boston Consulting Group ตามมาเป็นอันดับ 2 และ 3
ในขณะที่อันดับ 4 กลับเป็นออฟฟิศ In-N-Out Burger ซึ่งก็คือธุรกิจร้านเบอร์เกอร์นี่แหละครับ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้พนักงานชื่นชอบและมีความสุขในการทำงานก็คือ ตารางการทำงานที่ยืดหยุ่นได้ ทีมงานทุกคนมีลักษณะนิสัยคล้ายๆ กัน จึงทำให้คุณเรียนรู้ได้เร็ว และทำงานได้ดีขึ้น อาหารฟรี รายได้เยี่ยม
ส่วนอันดับ 5 นั้นน่าจะคุ้นเคยกันดี นั่นก็คือออฟฟิศ Google เจ้าแห่งเสิร์ชเอนจิ้นซึ่งเต็มไปด้วยบุคลากรหัวกะทิ โปรเจคท์ใหม่ๆ ที่ท้าทาย และแน่นอนว่าต้องมาพร้อมกับรายได้และสวัสดิการที่ยอดเยี่ยม
"It's great working here — there's nowhere else I'd rather be. You are working with very smart people who are energized and believe in the work they are doing. You will be rewarded for doing well, and for the company doing well." — Facebook Data Scientist
"มันยอดเยี่ยมมากที่ได้ทำงานที่นี่ คุณจะได้ทำงานร่วมกับคนเก่งๆ ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยานและเชื่อมั่นในงานของพวกเขา หากคุณทำงานดี บริษัทก้าวหน้าไปได้ดี คุณก็จะได้รับผลตอบแทนที่ดีเช่นกัน"
Facebook มีอะไรดี
จากวิสัยทัศน์ที่ Facebook บอกเล่าไว้ในหน้าแรกของ Facebook career มีอยู่สามข้อ
- Move fast : แม้ว่าปัจจุบันออฟฟิศพวกเขาจะมีพนักงานกว่าหมื่นคน แต่สไตล์การทำงานของพวกเขาก็ยังเน้นการจับกลุ่มเล็ก เพื่อให้ไอเดียของทุกคนถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่จมหายไปเหมือนกับการทำงานกับทีมงานจำนวนมาก จึงทำให้พนักงานแต่ละคนพัฒนาได้เร็วขึ้นด้วย
- Be bold : ออฟฟิศ Facebook ให้ความสำคัญและเปิดโอกาสกับพนักงานทุกฝ่ายทุกตำแหน่ง ตั้งแต่โปรแกรมเมอร์ ดีไซเนอร์ ไปจนถึงฝ่ายการตลาด หากคุณได้รับสิทธิ์ในการตัดสินใจและดูแลโปรเจคท์นั้นแล้ว จะไม่มีกรอบใดๆ มาขัดขวางการทำงานของคุณเลย นั่นจึงทำให้คุณอาจกลายเป็นผู้ควบคุมโปรเจคท์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกได้เลย ซึ่งถือเป็นข้อหลักที่ทำให้ Facebook คว้าแชมป์ในปีนี้ เพราะบริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆ ยังคงติดกับดักการมีลำดับขั้นที่มากเกินไป
- Be yourself—แน่นอนว่ามันคงจะดีไม่น้อยเลย หากคุณได้เข้าไปทำงานในออฟฟิศที่คุณไม่ต้องปั้นหน้า และฝืนใจเป็นในสิ่งที่คุณไม่อย่างเป็น ในขณะเดียวกันการที่ Facebook สร้างบรรยากาศให้เหมาะสมกับคนหลากหลายนี่แหละ จึงทำให้พวกเขามีไอเดียมากมายหลากหลายไม่รู้จบ
“There’s this general idea that as companies get big, they get bloated. One of the biggest things you can do to stay nimble is to stay small and flexible.”
มักจะมีความคิดกันว่ายิ่งบริษัทใหญ่มากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งเทอะทะ ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือคุณควรจะจัดสรรทีมให้เล็กและยืดหยุ่นเพื่อให้งานของคุณคล่องตัว
— Mark Zuckerberg
สวัสดิการของออฟฟิศ Facebook
- สุขภาพ : ออฟฟิศนี้มีประกันสุขภาพครอบคลุมทุกความเจ็บป่วย มีคอร์สเพื่อสร้างเสริมความแข็งแรง ให้กับทั้งตัวพนักงานเอง และครอบครัวของพนักงานด้วย อีกทั้งมีโปรแกรมประกันชีวิต และทีมช่วยวางแผนการเงินหลังเกษียณ
- สังคม : ไหนๆ ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นบริษัทที่เชื่อมต่อคนทั้งโลกไว้ ในทีมงานก็ต้องสนิทชิดเชื้อกัน ฉะนั้นออฟฟิศ Facebook จึงมีการรวมตัวของพนักงานตามเชื้อชาติ ศาสนา ความชื่นชอบ เพื่อทำความรู้จักและทำกิจกรรมร่วมกันสร้างสายสัมพันธ์ที่ดี และทุกกลุ่มก็ยังจะได้รับเงินสนับสนุนในการทำกิจกรรมอีกต่างหากด้วย
- อาหาร (และอาหารสมอง) : นอกจากอาหารการกินและของว่างที่มีพร้อมเสิร์ฟตลอดเวลาแล้ว ออฟฟิศ Facebook ก็ยังมีอาหารสมองอย่างคลาสและเวิร์กช็อปต่างๆ ที่พร้อมจะเสริมความรู้และความสามารถใหม่ๆ ที่พนักงานต้องการอีกด้วย
- วันหยุด : ไม่ต้องห่วงเลยว่าหากเข้ามาทำงานในสถานที่ที่มีค่าตอบแทนสูงและสวัสดิการดีเช่นนี้แล้ว จะไม่มีโอกาสได้ลาไปเที่ยวเท่าไหร่ กลับกัน ที่นี่เปิดโอกาสให้คุณลาหยุดติดต่อจนคุณสามารถเที่ยวรอบโลกได้ด้วยซ้ำ อีกทั้งหากคุณเป็นพ่อแม่มือใหม่ คุณก็สามารถลาหยุดได้โดยยังได้รับเงินเดือน แล้วยังได้เงินขวัญถุงสำหรับค่าใช้จ่ายของลูกน้อยอีกด้วย
- รถรับส่ง : พวกเขารู้ดีว่าการเดินทางนั้นพรากพลังงานไปมากขนาดนั้น พวกเขาจึงมีทั้งรถรับส่งส่วนตัวและรถบัสคอยรับส่ง เพื่อให้พนักงานไม่ต้องเครียดกับการจราจรจนเสียการเสียงาน
โดยทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานั้น จึงตรงกับผลสำรวจความรู้สึกของพนักงานของ Facebook ที่พบว่าพวกมีความเครียดน้อยที่สุด, มีอิสระมากกว่า, มีความสุขมากกว่า, มีรายได้มากกว่า, และมีโอกาสเติบโตมากกว่าเมื่อเทียบกับออฟฟิศคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน และบริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆ
สุดท้ายนี้ก็หวังว่าทุกคนที่กำลังหางานจะได้พบเจอกับออฟฟิศที่ทำงานในฝัน แม้อาจจะไม่ได้มีทุกอย่างตรงตามใจหวัง แต่ก็ขอให้เป็นที่ที่ทำให้คุณมีความสุขกับการทำงานในทุกๆ วันในออฟฟิศ
"I would only hire someone to work directly for me if I would work for that person." — Mark Zuckerberg
ผมจะเลือกจ้างคนที่แม้แต่ผมเองก็อยากจะทำงานกับเขา
http://www.businessinsider.com/best-places-to-work-2018-2017-12/#1-facebook-50
https://www.facebook.com/careers/
http://www.businessinsider.com/why-its-better-to-work-at-facebook-than-google-2015-4
https://www.glassdoor.com/facebook
http://www.humanresourcesonline.net/mark-zuckerbergs-secret-hiring-top-talent/
