‘เรื่องของบาทหลวงชั่ว กับเรื่องทนายความที่เปลี่ยนคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กไปเป็นปัญหาครอบครัว’
‘เรื่องไหนที่อยากให้เราเขียน เพราะเราจะเขียนแบบจัดเต็มแน่’
เราเคยตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับ ‘ความศรัทธาในสิ่งใดสิ่งนึง’ เมื่อเราเชื่อและศรัทธา เราจะมองข้ามบางอย่าง บางครั้งสิ่งที่เยียวยาเรา กลับทำให้เรากลายเป็น ‘เหยื่อของความศรัทธา’
ซีนนี้มาในครั้งนี้ เราอยากเล่าต่อหนังดีตีแผ่เหตุการณ์อื้อฉาวที่เกิดขึ้นจริงในปี 2001 ในวงการคริสตจักรของอเมริกา (หรือแทบจะทั่วโลก) โดยกลุ่มนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ Boston Globe อย่างทีม Spotlight ที่กล้าจะ(ขัด)ความศรัทธา เพื่อล่าหาความจริง!
เมื่อบทความหนึ่งในหนังสือพิมพ์ กลายเป็นความอือฉาวที่หยั่งรากฝังลึกในวงการศาสนา
“Spotlight ไม่ใช่หนังที่สร้างขึ้นเพื่อโจมตี ศาสนา มันคือการตั้งคำถามว่า ‘เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?’ เราปล่อยให้เรื่องแบบนี้ดำเนินอยู่นับสิบปีได้อย่างไรโดยที่ไม่มีใครลุกขึ้นมาเปิดโปงอะไรเลย” - ผู้กำกับทอม แม็คคาร์ธี
เรื่องราวของคดีที่บาทหลวงมีพฤติกรรมล่วงละเมิดเด็กชายตลอด 30 ปี แต่ไม่มีแม้ใครที่ปริปากพูด รับรู้ แต่ นิ่งเฉย เพราะคิดว่า ‘นิดๆ หน่อยๆ ปล่อยไปเถอะ….’ ส่งผลให้บาทหลวงกว่า 90 คนล่วงละเมิดเด็กชายได้อย่างหน้าตาเฉย…
ในหนังแสดงให้เห็นถึง ประเด็นการที่ยังมีสื่อมวลชนที่ยึดมั่นในจรรณยาบรรณ จุดประเด็น-มุ่งเน้นหาความจริง-และนำเสนอออกมาในทางที่ถูกต้อง ไม่บิดเบือน ใส่สี ทั้งที่เรื่องที่จะตีแผ่จะส่งผลกระทบต่อวงการศาสนาที่มีคนนับถือและศรัทธา แต่มันถึงเวลาแล้วที่ ความจริง เปิดโปง ศาสนา
เมื่อพระเจ้าเลือกคุณ คุณจะปฏิเสธได้อย่างไร?
‘ถ้าคุณเป็นเด็กน้อยตาดำๆ มาจากครอบครัวจนๆ พอบาทหลวงให้ความใส่ใจคุณ… มันสำคัญนะ …คุณจะปฏิเสธพระเจ้าได้ยังไง?’
จริงๆ แล้วมันเป็นคดีที่ละเอียดอ่อนนะเราว่า หนังไม่ได้มีเอฟเฟกต์ตูมตาม หรือการบิ้วอารมณ์เกินจริงเลย แต่คล้ายกับเราดูสารคดีที่ถ่ายจากคนที่ถูกล่วงละเมิดจริงๆ ดูการทำงานของกลุ่มนักข่าวที่ตั้งใจสืบค้น ขุดคุ้ย ยิ่งค้นหา ยิ่งเจอมากขึ้น ทำให้เรารู้สึกเศร้าใจกับความจริงที่ได้รู้อยู่เหมือนกัน
แต่ใครจะรู้ว่าบาทหลวงที่ไปนั่งฟังในโบสถ์อยู่ทุกอาทิตย์ จะเป็นคนเดียวกับที่ล่วงละเมิดเด็ก ย้อนกลับมามองในบ้านเรา ก็มีอยู่หลายประเด็นเกี่ยวกับศาสนา พระสงค์ ที่เราเห็นกันตามอินเทอร์เน็ต เพจที่ตั้งขึ้นเพื่อบอกต่อพฤติกรรมที่ไม่สมควรของตัวแทนศาสนาพุทธ เรามองเห็นเป็นเรื่องขำขัน หรือความบันเทิงในรอบวัน นานวันเข้ากลายเป็นนิ่งเฉยต่อปัญหาและเกิด ‘ความเสื่อมถอยของศาสนา’ เพราะคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องของเรา ยังโชคดี… แต่ใครจะรู้ละ วันนึงมันอาจจะเป็นเรื่องของคุณ มันอาจจะเป็นเรื่องของฉัน หรืออาจจะเป็นเรื่องของใครก็ได้
.
‘เมื่อมีใครสักคนจุดไฟขึ้นมาท่ามกลางความมืด ทุกคนก็จะมัวแต่ให้ความสนใจแสงสว่างนั้นจนมันมอบดับไปเลยไม่ได้สนใจบริบทอื่นเลย’
.
ความเห็น 16
ยุทธ โยธิน
บทความที่ดี โดนใจหลายบรรทัดเลย
19 ต.ค. 2562 เวลา 02.31 น.
น่าสนใจ
19 ต.ค. 2562 เวลา 04.54 น.
Tricia 😘
มันเกิดจากความอ่อนแอต่อการยับยั้งความชั่วร้ายในใจตนเอง ทุกศาสนาและองค์กรต่างๆ ในสังคมนุษย์ล้วนมีคนทั้งสองประเภทปะปนกัน มีมืดมีสว่างเหมือนใจคน สิ่งที่ผู้ตั้งกระทู้วิจารด้วยอารมณ์ ดูคล้ายผู้ที่ไร้ศาสนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ "ไร้วุฒิภาวะ" ในการถ่ายทอดความคิด (ลองไปถามพ่อแม่หนูนะว่าพี่สอนถูกมั๊ย)
19 ต.ค. 2562 เวลา 04.54 น.
ooy013
สังคมเราเป็นเช่นนี้แทบทุกวงการ แทรกอยู่เป็นจุดดำและนับวันจะขยายจุดดำนั้นไปเรื่อยๆ เพราะทุกคนเมินเฉย ไม่ยอมรับเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย เรื่องเฉพาะบุคคล และระบบอุปถัมภ์ มันจึงเพิ่มมากขึ้นจนเป็นเช่นทุกวันนี้
19 ต.ค. 2562 เวลา 02.59 น.
คงเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงในเรื่องของศัทธาที่มากจนมองไม่เห็นถึงในสิ่งถูกต้อง.
19 ต.ค. 2562 เวลา 05.35 น.
ดูทั้งหมด