โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

วิถีการล่าสัตว์แบบคนรวย ที่สัตว์ซวยไปยันยีน

LINE TODAY

เผยแพร่ 09 มี.ค. 2561 เวลา 10.54 น. • Expinion.J

ช่วงนี้มีกระแสการรณรงค์เรื่องการล่าสัตว์ป่าให้เห็นกันมาก หลายคนได้ออกมาแสดงสัญลักษณ์เพื่อต่อต้านและเรียกร้องความยุติธรรมให้กับสัตว์ป่า ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงาน องค์กรต่างๆ หรือแม้กระทั่งคนดัง ดาราก็ออกมาร่วมด้วย หลังจากที่เป็นข่าวฮือฮาเมื่อเดือนก่อนว่าเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ได้พบ นายเปรมชัย กรรณสูต บิ๊กบอสแห่งอิตาเลียนไทย เข้าไปตั้งแคมป์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า อีกทั้งยังพบซากเสือดำที่ถูกชำแหละแล้ว รวมถึงปืนไรเฟิลพร้อมกระสุนที่ใช้สังหารอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว

ทั้งนี้ในต่างประเทศก็เคยมีกรณีคล้ายๆกันเกิดขึ้นมากมาย จนเกิดเป็นคำถามที่หลายคนก็คงสงสัยว่า ทำไมการล่าสัตว์ถึงกลายเป็นกิจกรรมเพื่อความบันเทิงสำหรับคนรวย หรือชนชั้นสูง? แล้วสัตว์ป่าละจะเป็นอย่างไรต่อไป?

เว็บไซต์ข่าววิทยาศาสตร์ชั้นนำของสหรัฐฯบอกว่าในบางประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาจะมีกลุ่มคนรวยที่ชอบล่าสัตว์ป่าหายากเป็นงานอดิเรกของพวกเขาเพื่อนำชิ้นส่วนต่างๆของสัตว์มาประดับฝาผนังที่บ้าน และถ่ายรูปคู่กับซากสัตว์ที่พวกเขาล่ามาได้ โพสต์ลงโซเชียลมีเดียอย่างภาคภูมิใจ โดยจะเรียกการล่าสัตว์แบบนี้ว่า "Trophy Hunting" หรือ การล่าและฆ่าสัตว์เพื่อให้ได้มาเป็นรางวัล โดยมองว่าการได้ซากสัตว์มานั้นเสมือนกับเป็นรางวัลที่พวกเขาได้รับ 

แล้วทำไมคนรวยถึงต้องล่าสัตว์หายาก? 

เหล่าบรรดาเศรษฐีทั้งหลายที่ชื่นชอบกิจกรรมการล่าสัตว์เป็นชีวิตจิตใจมักจะเดินทางไปในประเทศแอฟริกาเพื่อ การล่าสัตว์แบบ "Trophy Hunting” โดยสัตว์ที่พวกเขาล่ามักจะเป็น สัตว์ที่มีขนาดใหญ่ ดูแข็งแกร่ง และเป็นอันตรายต่อมนุษย์ เพื่อที่เหล่านักล่าจะได้รู้สึกท้าทายหากล้มมันได้ พวกเขาจะรู้สึกว่าพวกเขานั้นแข็งแกร่งกว่า มีอำนาจเหนือกว่า ต่อให้สัตว์ที่อันตรายก็ต้องยอมศิโรราบต่ออำนาจของมนุษย์ เราคงพอจะรู้กันว่าวัฒนธรรมการล่าสัตว์เพื่อความบันเทิงนั้นมีมาหลายพันปีแล้ว โดยสมัยก่อนการล่าสัตว์ถือเป็นมโหรสพเพื่อความบันเทิง สำหรับชนชั้นสูงและราชวงศ์เพื่อแสดงถึงอำนาจอันเกรียงไกรของกษัตริย์ที่ปกครองอาณาจักรนั้นๆ 

และแน่นอนว่าทำไมการล่าสัตว์ถึงต้องเป็นกิจกรรมของคนรวย เพราะในบางประเทศการจะเข้าไปล่าสัตว์อย่างถูกกฎหมายในพื้นที่ที่รัฐบาลอนุญาตนั้นต้องเสียค่าผ่านทางเป็นใบอนุญาตด้วยเงินจำนวนมาก รวมถึงค่าอุปกรณ์ ค่าจ้างนายพรานหรือคนท้องถิ่นเพื่อนำทาง อย่างกรณีของเศรษฐีฝรั่งรายหนึ่งที่ได้เข้าไปล่าสัตว์ในแอฟริกาก็ต้องเสียเงินไปกับค่าใช้จ่ายเหล่านี้รวมๆแล้วก็ 54,000 เหรียญสหรัฐสำหรับทริปเดียว และทำให้ประเทศด้อยพัฒนาสามารถหารายได้เข้าประเทศได้สูงถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ทำให้กลุ่มนักล่าบางคนสามารถอ้างได้ว่า สิ่งที่พวกเขาทำก็เป็นประโยชน์กับบางองค์กรที่นำเงินของพวกเข้าไปฟื้นฟู อนุรักษ์ป่า และสร้างรายได้ให้กับคนในประเทศเหล่านี้

การล่าสัตว์ป่าทำให้สัตว์เกิด วิวัฒนาการย้อนกลับ ( Reverse Evolution)

แน่นอนว่าเมื่อมนุษย์เข้าไปรบกวนวิถีชีวิตของสัตว์ป่าที่มันควรจะเป็นก็ย่อมส่งผลต่อความแปรปรวนของระบบนิเวศ และที่สำคัญทำให้สัตว์เกิด "วิวัฒนาการย้อนกลับ" หรือ Reverse Evolution ซึ่งก็หมายความว่า การที่นักล่ามักจะล่าสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ ดูแข็งแรง น่าเกรงขาม และอันตราย อย่าง เสือ ช้าง หมี หรือแกะเขาใหญ่(Bighorn Sheep) มันจะส่งผลให้สัตว์พวกนี้มีวิวัฒนาการทางร่างกายที่ถอยหลัง เคยมีนักชีววิทยาชื่อดังอย่าง Marco Festa-Bianchet จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในแคนาดา พบว่า การล่าแกะเขาใหญ่ทำให้มันมีขนาดของเขาเล็กลง 25 เปอร์เซ็นต์กว่าเมื่อ 30 ปีก่อนและทั้งแกะเพศผู้และเพศเมียก็มีขนาดร่างกายที่เล็กลงด้วย เนื่องจากสัตว์ที่เกิดใน generation ถัดมามันเรียนรู้ว่า การที่มันมีขนาดร่างกายที่ใหญ่ หรือ มีเขาที่ใหญ่ ไม่ปลอดภัยสำหรับมัน ธรรมชาติจึงทำให้มันต้องหาทางที่จะมีชีวิตอยู่รอดโดย ยีนที่ทำให้มันมีลักษณะเด่น ตัวใหญ่ เขาใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้วสำหรับมัน กลับค่อยๆหายไปเหลือเพียงยีนที่ทำให้มันตัวเล็ก เเคระ เเกร็นและแกะที่เกิดมาในรุ่นหลังๆจึงมีขนาดที่เล็กลง หรืออย่างเสือ โดยสัญชาตญาณของเสือเกิดมาเป็นผู้ล่า แต่เมื่อมันถูกมนุษย์ล่า มันจึงปรับตัวจากที่มีวิถีชีวิตอย่างผู้ล่า เหลือเพียงเพื่อปกป้องตนเอง และมีชีวิตอยู่รอดจากเงื้อมมือของผู้ล่าอย่างมนุษย์เท่านั้น

ขอบคุณภาพวาดจาก คุณดุ๊ก ภาณุเดช วัฒนสุชาติ 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0