โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ขับรถอย่างไร ให้ปลอดภัยในฤดูฝน

LINE TODAY

เผยแพร่ 19 พ.ค. 2560 เวลา 08.08 น.

ช่วงฝนตกบ่อย ตกถี่แบบนี้ อะไร ๆ ก็ต้องระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการขับรถให้ปลอดภัยในสภาพถนนลื่น น้ำเจิ่งแบบนี้ ยิ่งเป็นเรื่องสำคัญ ลองมาดูทริคดี ๆ ที่จะทำให้ขับขี่รถได้ปลอดภัยมากขึ้นในช่วงแบบนี้กันดีกว่า

1. ตรวจเช็คสภาพรถให้พร้อม

ฝนตกถี่ขนาดนี้ การเช็คสภาพรถให้พร้อมเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำแต่เนิ่น ๆ สิ่งที่ต้องตรวจเช็คมีหลายอย่าง ทั้งยางรถ ใบปัดน้ำฝน ระดับน้ำหม้อพักฉีดกระจก สิ่งที่ต้องทำคือตรวจสอบการทำงานของยางใบปัดว่ายังดีหรือไม่ สมรรถภาพพร้อมใช้งานไหม เพราะหากยางปัดน้ำฝนไม่สามารถรีดน้ำออกได้เต็มที่ในช่วงที่ฝนตกก็อาจส่งผลถึงทัศนวิสัยในการมองทางได้เหมือนกัน ส่วนยางรถก็เป็นปัจจัยสำคัญช่วยในการรีดน้ำ เพื่อไม่ให้รถเกิดอาการเหินน้ำ ใครที่ไม่เคยใส่ใจกับดอกยางเลย ต้องเริ่มตรวจสอบอย่างจริงจังแล้วว่าดอกยางเหลือเพียงพอหรือไม่ คือต้องไม่ต่ำกว่า 2 มิลลิเมตร และระดับน้ำหม้อพักน้ำฉีดกระจกก็ต้องเติมให้เต็ม เผื่อไว้ในกรณีที่มีคราบดินโคลนถูกซัดขึ้นมา

2. ตรวจสอบสัญญาณไฟต่าง ๆ 

โดยเฉพาะไฟหน้า ไฟตัดหมอก และไฟเลี้ยวที่ต้องใช้คู่กับไฟฉุกเฉินต้องให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ สำหรับไฟหน้าและไฟตัดหมอกสามารถตรวจสอบด้วยตัวเองได้ด้วยการเปิดสวิตซ์ไฟไปที่ตำแหน่งไฟต่ำ และสังเกตว่ามีแสงที่ออกมามีกำลังพอหรือไม่ คือถ้าแสงมีน้อยหรือหรี่เกินไปก็ควรนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจสอบ ส่วนสัญญาณไฟฉุกเฉินสังเกตได้จากการเปิดไฟเลี้ยวทั้งสองข้าง หากพบว่ามีจังหวะที่ไฟกระพริบเร็วกว่าปกติ แสดงว่าหลอดไฟด้านใดด้านหนึ่งขาด จากนั้นลองกดสวิตซ์ไฟฉุกเฉินดูว่ามีการทำงานปกติหรือไม่ ถ้าพบความผิดปกติก็รีบเปลี่ยนทันที นอกจากการตรวจสอบสัญญาณไฟแล้ว การขับรถขณะฝนตกควรเปิดไฟหน้าควบคู่ไปด้วย ถึงจะเป็นตอนกลางวันก็ตาม เพื่อให้รถคันอื่นมองเห็นรถคุณได้ง่ายขึ้น ช่วยเพิ่มความปลอดภัย ส่วนไฟตัดหมอกหน้า-หลังนั้น ควรเปิดเมื่อฝนตกหนักจริง ๆ เท่านั้น และควรรีบปิดเมื่อฝนเบาลงหรือหยุดแล้ว

3. ตรวจสอบผ้าเบรก ฝนตกถนนลื่น 

เพราะฉะนั้นเรื่องเบรกสำคัญมาก แต่ผู้ขับรถส่วนใหญ่มักมองข้ามเรื่องนี้ เพราะผ้าเบรกอาจสึกหรอจากการใช้งานมาเป็นเวลานาน และไม่รู้ว่าถึงเวลาเปลี่ยนตอนไหนส่งผลให้การจับตัวของผ้าเบรกและจานเบรกไม่มีประสิทธิภาพ ยิ่งเมื่อเจอสภาพอากาศที่มีความชื้นและเปียกลื่นก็จะเป็นการเสริมให้ความลื่นของหน้าสัมผัสมีมากยิ่งขึ้น และถ้ายิ่งประกอบกับสภาพยางที่อาจไม่มีประสิทธิภาพ ก็อาจทำให้รถเสียการทรงตัวและพลิกคว่ำได้ง่ายด้วย ดังนั้นเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูฝนแบบนี้ ยิ่งควรไปตรวจเช็คสภาพรถให้พร้อมกับสภาพอากาศที่เกิดขึ้น

4. ระมัดระวังในการขับรถให้มากเป็นพิเศษ

เมื่อฝนตก สภาพถนนก็ลื่น เพราะฉะนั้นการขับรถอย่างระมัดระวังเป็นเรื่องสำคัญ แต่สิ่งที่ระวังเป็นพิเศษก็คือการไม่ขับรถจี้ท้ายรถคันหน้ามากเกินไป การขับรถตามคันหน้าในระยะกระชั้นชิดหรือขับรถจี้ท้ายคันหน้าในสภาพถนนลื่น หากรถคันหน้าหยุดกะทันหันจะทำให้เราไม่สามารถหยุดรถได้ทัน และเกิดอุบัติเหตุได้ ซึ่งในสภาพถนนเปียก การขับรถยนต์บนท้องถนนควรเว้นระยะจากรถคันหน้าที่เพียงพอต่อการหยุดรถคือไม่ต่ำกว่า 60 เมตรก็จะทำให้ระยะเบรกเพิ่มขึ้นกว่าปกติ ทางที่ดีหากขับขี่ด้วยความเร็ว ก็ควรจะเว้นระยะห่างคันหน้าให้มากขึ้น หากเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้สามารถหยุดรถได้ทันท่วงที

5. เหยียบเบรกอย่างมั่นคงเมื่อฉุกเฉิน

รถยนต์สมัยใหม่ มักติดตั้งระบบป้องกันล้อล็อค หรือ เอบีเอส มาให้ ซึ่งช่วยสามารถบังคับทิศทางของพวงมาลัยได้ และใช้ระยะเบรกสั้นลง แต่ระบบเอบีเอสจะทำงานต่อเมื่อเหยียบเบรกกะทันหันอย่างแรง และแป้นเบรกจะมีอาการสะท้านเป็นจังหวะจนรู้สึกได้ ซึ่งถือเป็นอาการปกติของระบบ เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจึงควรเหยียบเบรกอย่างต่อเนื่องและมั่นคง เพื่อให้หยุดรถได้อย่างรวดเร็วที่สุด

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0