เมื่อวันที่ 1 ก.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ จำนวน 2 คณะต่อเนื่องกัน โดยมีนายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมประชุม เพื่อดำรงความต่อเนื่องขับเคลื่อนแผนและการปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ที่รัฐบาลกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ
พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบ รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ชุมชนพลัดถิ่นในฐานะเครือข่ายความปลอดภัยในการปกป้องเด็กตกเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ จากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ โดยพบภาพรวมการค้ามนุษย์ทางเพศ เป็นปัญหาสำคัญในประเทศไทย โดยไทยเป็นทั้งต้นทาง ทางผ่านและปลายทางที่สำคัญของการค้ามนุษย์ทางเพศเด็ก ซึ่งผู้เสียหายส่วนใหญ่มาจากประเทศ เพื่อนบ้านที่ยากจนกว่า รวมทั้งเด็กชาวไทยภูเขาในอีสานถูกนำพาไปค้ามนุษย์ตามเมืองท่องเที่ยวหลักๆ และมีการบริการในรูปแบบต่างๆ ซึ่งการค้ามนุษย์ในเด็กผู้ชายเป็นปัญหาที่ถูกซ่อนเร้น และได้รับทราบรายงานกระทรวงการต่างประเทศ ถึงข้อคิดเห็นของ Seafood working Group ( SWG ) ผ่าน องค์กร Global Labor Justice - International Labor Rights Forum เกี่ยวกับการดำเนินการของรัฐบาลไทยในการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ ทั้งการป้องกัน การดำเนินคดีและการคุ้มครองเหยื่อที่ผ่านมา
พล.อ.ประวิตร กล่าวอีกว่า พร้อมทั้งได้พิจารณาและเห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ประจำปี 64 ที่เน้นให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาสถานการณ์เฉพาะและการป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ตที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน การป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงานและการคุ้มครองแรงงานต่างด้าว รวมถึงที่ประชุมยังได้ติดตามผลการดำเนินงานทางวินัยและการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ตั้งแต่ปี 55 ถึงปัจจุบัน รวม 77 ราย ทั้งข้าราชการครู พลเรือน ทหาร ตำรวจ และนักการเมืองท้องถิ่น ได้พิจารณาการปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่รัฐมิให้เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์
พล.อ.ประวิตร ขอบคุณและเป็นกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ในทุกระดับถึงความมุ่งมั่นในปฏิบัติงานที่ผ่านมา พร้อมได้ย้ำถึงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นของรัฐบาล ในการขจัดการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไปโดยถือว่าเป็นวาระแห่งชาติ ที่ต้องให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนร่วมกันอย่างจริงจังและมีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้น โดยต้องไม่ให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดเป็นช่องว่างหรือข้อจำกัดของการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกระดับในทุกหน่วยงาน โดยให้สืบต้นตอความเชื่อมโยงการค้ามนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบนำพาผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายทุกกรณี และ ขอให้รง.ให้ความสำคัญผลักดันให้นายจ้างลงทะเบียนแรงงานต่างด้าวให้อยู่ในระบบโดยเร็ว พร้อมย้ำว่า ต้องไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐหรือการทุจริตโดยเด็ดขาด อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงมีต่อเนื่อง ขอให้ทุกหน่วยงานได้ระมัดระวังความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน และให้ปรับกระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ดังกล่าวด้วย.