วันนี้ (14 มิ.ย.) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เริ่มทำการทดสอบวัคซีนที่ผลิตโดยคนไทย “ChulaCov19” (จุ-ฬา-คอฟ-ไนน์-ทีน) เฟสแรกในมนุษย์ โดยทดลองฉีดให้อาสาสมัครจำนวน 4 ราย เบื้องต้นทั้งหมดไม่พบผลข้างเคียง
mRNA เทคโนโลยีใหม่ ไทยพร้อม
วัคซีน “ChulaCov19” ถูกคิดค้นออกแบบและพัฒนาโดยคนไทย ด้วยความร่วมมือและสนับสนุนจาก นัก วิทยาศาสตร์ระดับโลกผู้บุกเบิกเทคโนโลยีนี้คือ Professor Drew Weissman, มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเทคโนโลยี mRNA เช่นเดียวกับวัคซีน Pfizer และ Moderna ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ทั่วโลกที่มีการรับรองในการฉีดกว่า 600 ล้านโดส ทั่วโลก
mRNAจะสร้างชิ้นส่วนขนาดจิ๋วจากสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนา โดยไม่มีการใช้ตัวเชื้อแต่อย่างใด เมื่อร่างกายได้รับชิ้นส่วนดังกล่าว จะทำการสร้างโปรตีนและกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกัน เพื่อให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อ โควิด-19 เพื่อป้องกันการติดเชื้อหรือเกิดอาการหรือเกิดอาการรุนแรงหรือเสียชีวิตได้
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ สนใจเทคโนโลยีนี้มาเป็นเวลา 4 ปีแล้ว ได้เริ่มความร่วมมือในการพัฒนาวัคซีนและการถ่ายทอดเทคโนโลยี จาก ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ดรู ไวซ์แมน (Drew Weissman) จากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นนัก วิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกท่านหนึ่งที่บุกเบิกการพัฒนาเทคโนโลยี mRNA vaccine
เมื่อเกิดการแพร่ระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 จึงตัดสินใจ ร่วมมือกันเร่งทำการวิจัยและผลิตวัคซีนขึ้นทันที ตั้งแต่ เดือน กุมภาพันธ์ปี 2563 โดยมุ่งให้เป็นวัคซีนที่จะกลายเป็นที่พึ่งของทวีปเอเชีย
การพัฒนาวัคซีน “ChulaCov19” ของศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยนี้ ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เอกชน และประชาชน เช่น สถาบันวัคซีนแห่งชาติ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ทุนศตวรรษที่สอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเงินบริจาคจากสมาคมศิษย์เก่าแพทย์จุฬาฯ กองทุนบริจาควิจัยวัคซีน สภากาชาดไทย
ผลทดลองในสัตว์ “สูงมากจนน่าตื่นเต้น” - เก็บรักษาง่าย
ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ระบุว่า ผลการทดลองในหนูทดลอง พบว่าการฉีดแม้เป็นเพียงโดสต่ำๆ แต่สร้างภูมิคุ้มกันได้ “สูงมากจนน่าตื่นเต้น” และเมื่อนำไปทดสอบในลิงก็พบว่าสามารถสร้างภูมิได้สูงมากเช่นกัน
นอกจากนั้นยังได้ทำการทดลองในหนูพันธุ์พิเศษ โดยใส่เชื้อเข้าไปในระบบทางเดินหายใจของหนูที่ได้รับการฉีดวัคซีน พบว่าสามารถป้องกันไม่ให้หนูป่วยและเชื้อเข้ากระแสเลือดได้ 100% นอกจากนั้นยังพบว่าเชื้อที่ใส่เข้าไปในจมูกและปอดลดลงกว่า 10 ล้านเท่า
“เราก็มั่นใจว่า เรามาถูกทางแล้ว” ศ.นพ.เกียรติ กล่าว
สำหรับการเก็บรักษาพบว่าวัคซีน “ChulaCov19” สามารถอยู่ในอุณหภูมิตู้เย็น (2-8 องศาเซลเซียส) นานถึง 3 เดือน และเก็บในอุณภูมิห้อง (25 องศาเซลเซียส) นาน 2 สัปดาห์ ซึ่งถือว่าจัดเก็บรักษาง่ายกว่าวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA ยี่ห้ออื่น
Reuters
เฟสแรก ทดสอบในมนุษย์ - เตรียมเทียบผลไฟเซอร์
หลังการประกาศขอสมัครอาสามัครทดลองวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ได้รับใบสมัครจากคนไทยกว่า 10,000 ราย
สำหรับการทดสอบทางคลินิก (ทดลองในมนุษย์) ระยะที่ 1 นั้น เริ่มต้นจากการฉีดวัคซีนให้อาสาสมัครผู้ผ่านการคัดกรองที่มีสุขภาพดี 4 รายแรกก่อน หลังจากฉีดให้สังเกตอาการอย่างใกล้ชิดเป็นเวลา 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นอีก 3 วันจึงจะเริ่มดำเนินการทดสอบกับอาสาสมัครคนอื่นๆ
โดยการทดสอบระยะที่ 1 นี้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มอายุ จำนวน 72 คน
-กลุ่มแรก อายุ 18-55 ปี จำนวน 36 คน
-กลุ่มสอง อายุ 65-75 ปี จำนวน 36 คน
ในกลุ่มข้างต้นจะแบ่งการทดลองขนาดของวัคซีนแตกต่างกัน คือ 10, 25 และ 50 ไมโครกรัม เพื่อทดสอบว่าปริมาณเท่าใดจะมีประสิทธิภาพสูงสุดและผลข้างเคียงน้อยที่สุด และเว้น 3 สัปดาห์ก่อนรับวัคซีนเข็มที่ 2
ซึ่งจะดำเนินการเก็บตัวอย่างเลือดจะตรวจในสัปดาห์ที่ 3 หลังฉีดเข็มแรก และตรวจอีก 2 ครั้งคือ 1 อาทิตย์ และหนึ่งเดือน หลังฉีดเข็มที่ 2
นอกจากนั้นจะมีการเปรียบเทียบผลการทดสอบจากผู้ที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ ในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างสิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งมีพันธุกรรมใกล้เคียงกับคนไทย โดยขณะนี้ได้รับผลเลือดเรียบร้อยแล้ว
Reuters
เร็วสุดฉีดได้สงกรานต์ปีหน้า
ศ.นพ.เกียรติ อธิบายกระบวนการทดสอบวัคซีนเพิ่มเติมว่า หากผ่านการทดสอบระยะแรกปลายเดือน ก.ค. ระยะที่ 2 จะเริ่มดำเนินการทดสอบในอาสาสมัครอีก 150 คนได้ในช่วงเดือน ส.ค.
ส่วนการทดสอบในระยะที่ 3 นั้น อาจไม่จำเป็นต้องทดสอบในอาสาสมัคร 20,000 รายในประเทศที่กำลังเกิดการระบาด ตามเกณฑ์ของการทดลองวัคซีนชนิดใหม่ เนื่องจากเมื่อมีวัคซีนอื่นที่ผลิตชนิดเดียวกันแล้ว มีแนวโน้มว่าภายในสิ้นปีนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) หรือสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (NIH) จะกำหนดหลักเกณฑ์ได้ว่า “วัคซีนที่มีประสิทธิภาพต้องกระตุ้นภูมิเท่าไหร่” ก็จะช่วยลดขั้นตอนการทดสอบทางคลินิกในระยะที่ 3 ได้
หากได้รับการยกเว้นการทดสอบระยะที่ 3 และผ่านเกณฑ์ที่กำหนด วัคซีน “ChulaCov19” อาจได้รับอนุมัติให้ผลิตเพื่อให้ในคนจำนวนมากได้ประมาณเดือน มี.ค. หรือ เม.ย. 2565
ในล็อตแรกที่ทำการทดสอบนี้ผลิตจากบริษัทในสหรัฐอเมริกา แต่หลังจากนี้จะผลิตในประเทศไทยโดยบริษัท BioNet-Asia ซึ่งได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแล้ว ซึ่งตั้งเป้าไว้ว่าจะผลิตให้ได้อย่างน้อย 50 ล้านโดสต่อปีหลังผ่านการทดลองและได้รับการอนุมัติ
Reuters
ความหวังรับมือไวรัสกลายพันธุ์ในไทย
ท่ามกลางความกังวลเรื่องประสิทธิภาพวัคซีนที่มีในประเทศไทย และทิศทางเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ในอนาคต
ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ เตรียมความพร้อมพัฒนาทดลองวัคซีนรุ่นที่ 2 เพื่อรองรับเชื้อดื้อยาหรือเชื้อกลายพันธุ์ และจะเร่งทดลองกับสัตว์ควบคู่กันไป และคาดว่าจะทดสอบในอาสาสมัครภายในไตรมาสสี่ของปีนี้
“ความคาดหวังแน่นอนเราก็อยากเห็นว่าถ้าประสบความสำเร็จ คือรู้ขนาดที่เหมาะสม โรงงานไทยผลิตได้จริง ฝีมือดีเท่ากับที่เรานำเข้า ประสิทธิผลประสิทธิภาพได้ เราก็อยากให้วัคซีนนี้สามารถที่จะเป็นที่พึ่งของคนไทยได้ในปีหน้า” ศ.นพ.เกียรติ กล่าวทิ้งท้าย
เรียบเรียงข้อมูลโดย: พริสม์ จิตเป็นธม workpointTODAY และ ทีมประชาสัมพันธ์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
ความเห็น 1
Khunkea999
ขอให้ออกมาได้ผลดีที่เถอะ
จะได้มีใช้กะเขาสะที
***เชื่อว่าหมอเมืองไทย
ไม่แพ้ชาติใดในโลก
14 มิ.ย. 2564 เวลา 14.20 น.
ดูทั้งหมด