ผลงานวิจัยศูนย์วัคซีน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสถาบันวัคซีนแห่งชาติและกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ หลังประสบความสำเร็จในหนูทดลองแล้ว กำลังเตรียมทดสอบในลิงในสัปดาห์หน้า รมว.การอุดมศึกษาฯ เผยนายกรัฐมนตรี สั่งการให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ไทยเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ที่มีวัคซีนใช้อย่างเพียงพอสำหรับคนไทย ประสานเตรียมการผลิตวัคซีนชุดแรกกับโรงงานผลิตในสหรัฐฯ และแคนาดาแล้ว เพื่อนำมาใช้ทดสอบในคนตามขั้นตอนมาตรฐานสากล
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ มีข่าวดีสำหรับการผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด–19 ล่าสุดงานวิจัย “วัคซีนชนิด mRNA” ที่ศูนย์วัคซีนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสถาบันวัคซีนแห่งชาติและกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่ อว.มอบให้ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) รับผิดชอบ ประสบความสำเร็จในระดับดีหลังทดสอบในหนูทดลองแล้ว โดยผลการคัดกรองเบื้องต้นที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอมริกา พบว่าให้ผลกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า Neutralizing antibody ในระดับที่สูงถึง 1: 3000 ทั้งนี้กำลังเตรียมจะทดสอบในลิงในประเทศไทยสัปดาห์หน้าต่อไป
รมว.การอุดมศึกษาฯ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกัน ได้มีการประสานเตรียมการผลิตวัคซีนชุดแรกกับโรงงานผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เพื่อนำมาใช้ทดสอบในคนตามขั้นตอนมาตรฐานสากล รวมทั้งได้ประสานกับบริษัท Bionet Asia ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนของไทย เตรียมการในการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตจากโรงงานผลิตวัคซีนต้นแบบ ซึ่งเชื่อว่าจะสำเร็จจนถึงขั้นสุดท้าย คือ ประเทศไทย สามารถผลิตวัคซีนด้วยเทคโนโลยี mRNA ที่เป็นเทคโนโลยีใหม่มากที่สุดในประเทศไทยและนำมาใช้ช่วยคนไทยในการป้องกันโควิด – 19 ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน ให้ประเทศไทยดำเนินการเรื่องวัคซีนอย่างรวดเร็ว โดยเมื่อมีวัคซีนโรคโควิด-19 ใช้แล้ว ไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ที่มีวัคซีนใช้อย่างเพียงพอสำหรับคนไทย
นอกจากนี้ ตนได้สั่งการให้กระทรวงการอุดมศึกษาฯ ระดมกำลังจากทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนให้มีการวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนใช้งานได้อย่างรวดเร็วและเพียงพอโดยใช้ 3 แนวทางควบคู่กันไป คือ การสนับสนุนการวิจัยในประเทศ การร่วมมือกับเครือข่ายนานาชาติ และการทำงานจตุรภาคี กับผู้ผลิต ภาควิชาการ ภาครัฐ และเอกชน ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมทั้งได้ให้ทุนวิจัยเรื่องวัคซีนโควิด-19 แล้ว 5 โครงการในหลายสถาบัน ซึ่งหลายแห่งมีความก้าวหน้าจนถึงขั้นทดสอบในสัตว์ทดลองแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 คือการบริหารจัดการให้แน่ใจว่าจะมีวัคซีนใช้งานได้อย่างรวดเร็วและจำนวนเพียงพอ ซึ่งต้องเตรียมการทั้งด้านการวิจัยและพัฒนา และการผลิตควบคู่กันไป เช่น การเตรียมโรงงานเพื่อผลิตวัคซีน
สำหรับทดสอบในอาสาสมัคร รวมทั้งการวางแผนถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่บริษัทผลิตวัคซีนในประเทศไทย ซึ่งต้องเตรียมการ ให้เหมาะสมจึงจะสามารถบรรลุเป้าหมายในการผลิตวัคซีนให้เพียงพอสำหรับประเทศภายในปีหน้าได้หากประสบความสำเร็จ ขณะที่ปัจจุบัน มีวัคซีนต้นแบบที่เข้าทดสอบในสัตว์ทดลองมากกว่า 150 ชนิดและอย่างน้อยมี 10 ชนิดที่เริ่มทำการทดสอบในอาสาสมัครแล้วอย่างน้อย 5 ประเทศ คือ จีน สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมัน และแคนาดา
ความเห็น 9
เลือดสุ1000
ใจเย็นๆเดี๋ยวหน้าแตกแบบพบว่ามีสูตรยารักษาแต่ไม่รู้ใช้ได้ป่าว
19 พ.ค. 2563 เวลา 13.34 น.
s..k.56
สาธุ.ขอบคุณทีมงานผู้วิจัย ขอยคุณท่านนายกลุงตู่ ขอบคุณ รมต.สาสุขที่ทำให้ไทยเราก้าวขึ้นได้เร็วขึ้น..ถ้าเราผลิตเองได้ ฉีดทุกคนตามกลุ่มเสี่ยงครบจากนั้นก็ฉีดให้คนไทยทุกคน..แล้วประเทศเราจะกลับเข้าสู่ภาสพปกติ
19 พ.ค. 2563 เวลา 12.45 น.
wiwat
เยี่ยมครับ!
เป็นข่าวดีมากๆสำหรับช่วงเวลานี้
19 พ.ค. 2563 เวลา 12.39 น.
pongpipat
ตกลงจะไปร่วมมือผลิตวัคศีนกับเมกาหรือ
แล้วที่ว่า mou กับจีน ที่จะให้คนไทยเป็นหนูทดลองล่ะ หรือว่า เลิกแล้ว
19 พ.ค. 2563 เวลา 12.32 น.
เชื่อความจริงใจประเทศอื่นๆ ยกเว้นสหรัฐ
ข่าวนี้คงกระทบต่อมอิจฉา ของคนไทยบางคน
19 พ.ค. 2563 เวลา 12.25 น.
ดูทั้งหมด